จากกรณีที่เจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสุราษฎร์ธานี ยื่นคำร้องต่อศาลขอคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก กับครอบครัวเชื่อมจิตนั้น ซึ่งก่อนหน้านั้นผู้ร้องได้นำพยานจำนวน 8 ปาก คือนายสรรพสิทธิ์ อดีตผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็กและสตรี และเป็นหนึ่งในผู้ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองเด็กปี 2546 รวมถึงครูประจำชั้น ของน้อง แต่ครั้งนั้นทางฝ่ายผู้ถูกร้องไม่ได้เดินทางมาศาล มีเพียงมอบหมายให้ทนายแถลงคัดค้านคำให้การของพยานฝ่ายผู้ร้อง ซึ่งศาลนัดไต่สวนพยานฝ่ายผู้ถูกร้องในวันนี้นั้น ผู้พิพากษาได้ขึ้นบัลลังก์ไต่สวนหลังจากที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องเรื่องที่คณะเชื่อมจิตฟ้องสื่อ
โดยในช่วงเช้ามีการไต่สวนพยานฟังผู้ถูกร้องจำนวน 2 ปากคือนางนัฐพร ขึ้นให้ไต่สวนเป็นปากแรก และน้องเป็นปากที่ 2 ส่วน ในช่วงบ่ายจะมีการสอบพยานฝ่ายผู้ถูกร้องอีกจำนวน 5 ปาก คาดว่าคงจะจะเสร็จสิ้นในช่วงบ่าย หรือเย็น
นอกจากนี้ผู้ถูกร้องยังได้ขอศาลเพื่อยื่นเอกสารฝ่ายญาติธรรมซึ่งอ้างว่าเป็นพยานอีก 67 คน แต่ทางศาลไม่รับให้คัดมาจำนวน 2 คน ด้านอธิบดีกรมกิจการเด็ก ที่ฝ่ายผู้ถูกร้องได้ขอให้มาเป็นพยานให้กับฝ่ายผู้ถูกร้องนั้น ไม่ได้เดินทางมาเป็นพยาน แต่ได้ทำเป็นหนังสือให้ปากคำมายังศาลแทน ส่วนคุณครูประจำชั้นที่ฝ่ายผู้ถูกร้องขอให้มาเป็นพยานให้ด้วยหลังจากไปเป็นพยานผู้ร้องไปแล้วนั้นแต่ผู้ร้องได้ทำหนังสือคัดค้านมาศาลซึ่งศาลก็รับคำคัดค้านโดยไม่ให้ขึ้นเป็นพยานฝ่ายผู้ถูกร้อง
ซึ่งในช่วงพักเที่ยง เวลาประมาณ 12.00 น. ทางครอบครัวเชื่อมจิต และทนายธรรมราช สาระปัญญา ได้เดินทางออกมาจากศาลเยาวชนและครอบครัวเพื่อให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน
โดยทางแม่ของเด็กชายวัย 8 ขวบ ได้เปิดเผยเพิ่มเติมโดยระบุว่า ในวันนี้จะมีพยานฝ่ายจำเลยขึ้นให้การไปแล้ว 2 ปาก คือ ตนและเด็กชายวัย 8 ขวบ ซึ่งตัวน้องเองก็เป็นคนเบิกความให้การด้วยตัวเอง ซึ่งตนก็มองว่าเป็นผลดี เนื่องจากว่าจะได้เห็นว่า ไม่จำเป็นต้องมีใครไปบอก แต่น้องให้การฉะฉานและพูดด้วยตัวเองไม่มีใครไปบอกให้พูด สยบข่าวลือที่บอกว่ามีแม่ไปกระซิบ เพราะในชั้นศาลแม่ไปกระซิบอะไรไม่ได้
ซึ่งในชั้นศาลน้องก็ถูกซักถามในประเด็นที่มาที่ไปของน้อง ในเรื่องของคำสอนต่าง ๆ ว่าน้องมีการสอนเรื่องอะไรบ้าง นอกจากนี้ตัวน้องเองก็ยังได้พูดต่อหน้าศาลถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้พิสูจน์ในเรื่องของการเชื่อมจิตได้อีกด้วย ซึ่งก็เป็นครั้งแรกที่น้องพูดถึงและแม่ไม่เคยได้ยินมาก่อน และเพิ่งรู้ว่ามันสามารถนำมาใช้ได้
ตอนนี้การเบิกพยานในชั้นศาลก็ยังไม่แล้วเสร็จ และยังไม่แน่ชัดว่าศาลจะมีคำสั่งในวันนี้เลยหรือไม่ ส่วนตัวก็ไม่ได้กังวลใจในคดีนี้ เพราะมั่นใจว่าในเรื่องของการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กนั้นต้องคำนึงถึงความต้องการของเด็กเป็นพื้นฐาน
สำหรับกรณีของสื่อแห่งหนึ่ง ที่จะลบตั้งแต่ในครั้งแรกอยู่แล้ว ซึ่งมีการพูดคุยกันตั้งแต่ครั้งแรกที่มาศาลว่าได้ลบไปแล้ว และจะไม่นำเสนอข่าวที่เป็นผลร้ายกับน้องอีก และนำหลักฐานมาแสดงให้เห็นว่า เป็นการเผยแพร่โดยไม่มีเจตนา และชี้แจงที่มาที่ไปของภาพว่านำมาจากที่ไหน แต่ที่ทางฝ่ายตนไม่ยอมถอนฟ้องในตอนนั้น เนื่องจากว่าน้องต้องการให้เป็นบรรทัดฐาน เพื่อไม่ให้ต้องการภาพที่ถูกตัดต่อถูกนำไปใช้
ซึ่งจะแตกต่างกับกรณีของ “หนุ่ม กรรชัย” และรายการที่มีเจตนาชัดเจนว่าจะไม่ลบและมีการเผยแพร่ซ้ำ ทั้งยังแตกประเด็นไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นคนละกรณีกัน
สำหรับปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกลดที่เกิดขึ้นเหนือฟ้าเมืองสุราษฎร์ธานีในวันนี้ (02 มิ.ย.) แม่เปิดเผยว่าจริง ๆ แล้วเป็นเรื่องปกติของน้องเวลาที่น้องจะทำอะไร หรือจะสอนทำหรือจะให้การในชั้นศาล ไม่ว่าน้องจะไปที่ไหนก็จะเกิดปรากฏกาลลักษณะอย่างนี้ซึ่งก็เป็นวิจารณญาณส่วนบุคคล อยากให้ไปพิจารณากันเอง
เมื่อสอบถามว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับที่น้องขึ้นเบิกความหรือไม่ แม่ของน้องบอกว่าก็ให้ไปพิจารณากันเอง แต่ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกแต่เกิดขึ้นแล้วหลายครั้ง