นี่เพิ่งแค่เริ่มต้น! กองทัพ เปิดสาเหตุที่ไม่รบต่อ

วันที่ 27 ธันวาคม 2568 ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา แถลงสรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3/2568 ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมชาเทรียม รีสอร์ท อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี โดยสาระสำคัญของการประชุมในวันนี้ ทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องในมาตรการหลักเพื่อยุติความรุนแรงและสร้างความสงบอย่างยั่งยืนในพื้นที่ชายแดน

ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้การหยุดยิงมีผลทันทีภายหลังการลงนามในถ้อยแถลงร่วม พร้อมกำหนดให้ทั้งสองฝ่ายคงกำลังในระดับปัจจุบัน ไม่เคลื่อนไหว ไม่ยั่วยุ และไม่โจมตีซึ่งกันและกัน โดยจะมีการเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเป็นระยะเวลา 72 ชั่วโมง รวมถึงจัดตั้งกลไกประสานงานและตรวจสอบทั้งในระดับพื้นที่และระดับนโยบาย เพื่อให้การหยุดยิงเกิดขึ้นจริงและต่อเนื่อง

ศูนย์แถลงข่าวร่วมฯ ชี้แจงว่า การกำหนดกรอบ หยุดยิง 72 ชั่วโมง มีเป้าหมายเพื่อยืนยันว่าการหยุดยิงไม่ใช่เพียงคำประกาศ แต่เป็นการปฏิบัติที่ตรวจสอบได้จริง โดยช่วงเวลาดังกล่าวจะช่วยลดความเสี่ยงจากความเข้าใจผิดหรือเหตุปะทะซ้ำ และเป็นเงื่อนไขสำคัญในการสร้างความปลอดภัย เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่สามารถทยอยกลับสู่บ้านเรือนได้อย่างมั่นใจ

ในกรณีที่เกิดการยิงหรือการยั่วยุในช่วงเฝ้าสังเกตการณ์ 72 ชั่วโมง ฝ่ายไทยยืนยันว่าจะดำเนินการตามกฎการปะทะและมาตรการที่เหมาะสม เพื่อปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน พร้อมใช้กลไกการสื่อสารโดยตรงที่ได้จัดตั้งไว้ เพื่อแก้ไขสถานการณ์อย่างรวดเร็วและป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งขยายตัว

สำหรับหลักการ คงกำลังในระดับปัจจุบัน ทั้งสองฝ่ายตกลงว่าจะไม่เคลื่อนย้ายหรือเสริมกำลังในลักษณะที่เพิ่มความตึงเครียด และจะไม่ดำเนินการใด ๆ ที่อาจถูกมองว่าเป็นการยั่วยุ โดยเมื่อเริ่มหยุดยิง กำลังของแต่ละฝ่ายที่อยู่ ณ จุดใด จะคงอยู่ ณ จุดนั้นไปก่อน จนกว่ากระบวนการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนจะแล้วเสร็จ

ในขั้นตอนต่อไป การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนจะเริ่มจากการดำเนินงานด้านมนุษยธรรม โดยคณะทำงานร่วมด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม (JTCF) จะประชุมหารือและปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแผนที่กำหนด เพื่อทำให้พื้นที่ปลอดภัย ก่อนที่คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) จะมอบหมายให้คณะทำงานสำรวจทางเทคนิคร่วมของทั้งสองประเทศลงพื้นที่สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนต่อไป

ทั้งนี้ จะมีกลไกตรวจสอบการหยุดยิงในหลายระดับ เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้จริง ประกอบด้วย คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) สำนักงานประสานงานชายแดนในระดับพื้นที่ และสายด่วนในระดับนโยบายระหว่างรัฐมนตรีกลาโหมและผู้บัญชาการทหารสูงสุดของทั้งสองฝ่าย เพื่อให้สามารถสื่อสารได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุ

ฝ่ายไทยย้ำว่า การเจรจาโดยตรงระหว่างสองประเทศเป็นแนวทางที่สร้างความไว้วางใจและแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากที่สุด โดยเฉพาะประเด็น “ทุ่นระเบิด” ซึ่งไทยถือเป็นเงื่อนไขสำคัญด้านมนุษยธรรมและความปลอดภัยของประชาชนและเจ้าหน้าที่ จึงได้ผลักดันให้มีกลไกการทำงานร่วมด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดอย่างเป็นระบบ ปลอดภัย และโปร่งใส ก่อนเข้าสู่กระบวนการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในระยะต่อไป

ศูนย์แถลงข่าวร่วมฯ ยังระบุถึงเหตุผลที่ไทยตัดสินใจไม่ดำเนินการรบต่อ โดยชี้ว่า ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาเกิดขึ้นมาแล้วสองระลอก ครั้งแรกในช่วงวันที่ 24-28 กรกฎาคม 2568 และครั้งที่สองตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2568 ต่อเนื่องเกือบ 20 วัน ซึ่งจากการปฏิบัติทางทหารที่ผ่านมา ฝ่ายไทยถือว่าบรรลุเป้าหมายทางทหารแล้ว สามารถควบคุมพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญในเขตอธิปไตยที่มีผลต่อความปลอดภัยของประชาชนได้ หากรบต่อไป ความชอบธรรมของไทยในเวทีโลกอาจลดลง และอาจเกิดการสูญเสียกำลังพลเพิ่มเติม

สำหรับการพิจารณาส่งตัวทหารกัมพูชาจำนวน 18 นายกลับประเทศ จะดำเนินการหลังจากการหยุดยิงเป็นไปอย่างต่อเนื่องและสงบลงแล้ว ตามกรอบการเฝ้าสังเกตการณ์ เพื่อแสดงความสุจริตใจ สร้างความเชื่อมั่น และยึดหลักมนุษยธรรม โดยฝ่ายไทยมั่นใจว่าครั้งนี้จะไม่ซ้ำรอยเดิม เนื่องจากได้กำหนดมาตรการที่ชัดเจน ทั้งเวลาเริ่มหยุดยิง การคงกำลังระดับปัจจุบัน การเฝ้าติดตาม 72 ชั่วโมง และกลไกการสื่อสารโดยตรง

ในส่วนของประชาชนตามแนวชายแดน ศูนย์แถลงข่าวร่วมฯ ระบุว่า การกลับเข้าสู่พื้นที่จะดำเนินการเมื่อการหยุดยิงเกิดขึ้นจริงและต่อเนื่อง และสถานการณ์มีความสงบเพียงพอ ตามการประเมินของหน่วยงานในพื้นที่ โดยจะเร่งสนับสนุนการกลับบ้านอย่างเป็นขั้นตอนและปลอดภัยที่สุด ยกเว้นบางพื้นที่ที่ยังมีการวางกำลังเผชิญหน้ากันอยู่ เช่น บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว และบ้านคลองแผง ซึ่งต้องประเมินอย่างรอบคอบเป็นพิเศษ

นอกจากนี้ ได้กำหนดให้ทีมสื่อสารของทั้งสองประเทศทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันข่าวบิดเบือน ยึดหลักตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนสื่อสาร ให้ข้อมูลอย่างสุภาพ โปร่งใส และไม่ยั่วยุ โดยไทยยืนยันยึดความปลอดภัยของประชาชนเป็นอันดับแรก ดำเนินการทุกขั้นตอนบนหลักมนุษยธรรมและกติกาสากล

ท้ายที่สุด ไทยย้ำจุดยืนต่อประชาคมโลกว่า การลงนามในข้อตกลงหยุดยิงไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการพิสูจน์ความจริงใจในการปฏิบัติ โดยประเทศไทยเปิดทางสู่สันติภาพอย่างจริงใจ แต่จะไม่ลดทอนความรับผิดชอบในการปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน พร้อมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ความรุนแรงลดลงจริง และนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืนในระยะยาว