เปิดแถลงการณ์ขบวนผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯ ประกาศยืนเคียงข้าง “อังคณา อังคณา นีละไพจิตร” ชี้ความรุนแรงไม่ใช่ทางออก
วันที่ 14 ตุลาคม 2568 เพจ The Story of แม่หญิงไฟ้ท์ เผยแพร่แถลงการณ์จากขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนแห่งประเทศไทย (Community Women Human Rights Defenders Collective of Thailand) ยืนยันการยืนเคียงข้าง อังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภาและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ระบุว่า

เรายืนเคียงข้างความจริง หลักสิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เรายืนข้าง อังคณา นีละไพจิตร
ในเวลาที่ความกลัวถูกปลอมเป็นความรักชาติ และความเกลียดชังถูกแต่งให้เป็นหน้าที่พลเมือง สังคมบางส่วนกลับหันไปโจมตีสมาชิกวุฒิสภาอิสระและผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนคนหนึ่ง — อังคณา นีละไพจิตร ผู้หญิงกล้าหาญที่เพียงทำหน้าที่อันซื่อสัตย์ของเธอ ตั้งคำถามต่อความไม่ชอบมาพากล ด้วยความสุจริตใจ และยึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชน
อังคณารู้ดีว่าการพูดในยามนี้คือการ “สวนกระแส” แต่เธอก็เลือกที่จะพูด เพราะเชื่อในศักดิ์ศรีของความจริง แม้ในวันที่อำนาจรัฐโหดร้ายต่อครอบครัวนีละไพจิตร เธอยังคงยืนอยู่ฝ่ายความถูกต้อง แม้อยู่ลำพัง เธอไม่ได้พูดเพื่อตัวเอง แต่เพื่อปกป้องสิทธิของเราทุกคน เพราะสิทธิมนุษยชนไม่ได้เป็นเรื่องของนักกฎหมาย เอ็นจีโอ หรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง
สิทธิมนุษยชนอยู่ในลมหายใจและชีวิตประจำวันของเราทุกคน สิทธิในการแสดงความคิดเห็นโดยไม่ถูกคุกคาม สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง สิทธิของพลเมืองที่จะตั้งคำถามต่ออำนาจรัฐ ทหาร ทุน หรือแม้กระทั่งอินฟลูเอนเซอร์ และสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่โดยไม่หวาดกลัวและมีความปลอดภัย
การตั้งคำถามต่ออำนาจคือหัวใจของประชาธิปไตย การตั้งคำถามไม่ใช่การล้ำเส้น แต่คือการท้าทายอำนาจรัฐที่ละเลยความรับผิดชอบต่อประชาชน เมื่อรัฐไม่รับผิด ประชาชนมีสิทธิและหน้าที่ต้องลุกขึ้นถาม การตั้งคำถามคือรูปแบบสูงสุดของความรับผิดชอบพลเมือง และคือหนทางเดียวที่เราจะรักษาความจริง ความยุติธรรม และศักดิ์ศรีของมนุษย์ เราอาจตั้งคำถามต่ออังคณา นีละไพจิตรในฐานะสมาชิกวุฒิสภาได้ แต่เราไม่สามารถสร้างความเกลียดชังได้
เมื่อความรักชาติถูกบิดให้เป็นอาวุธ เป็นเรื่องน่ายินดีที่ประชาชนตื่นตัวต่อสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา แต่เมื่อเราตื่นตัว เราต้องถามว่า เรากำลังตื่นตัวเพื่อแก้ปัญหาด้วยสติ หรือเพื่อช่วยปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารหรือ IO ปลุกความเกลียดชัง? ลัทธิชาตินิยมที่ถูกปลุกปั่นกำลังสร้างวัฒนธรรมแห่งความกลัวและความเกลียดชัง เมื่อเราปลูกความเกลียด เราก็เก็บเกี่ยวแต่ความรุนแรง เมื่อหล่อเลี้ยงการแบ่งแยก เราก็ทำลายรากของความยุติธรรมและสันติภาพ เราต้องถามตรง ๆ ว่า เรากำลังสร้างวัฒนธรรมแบบใดในใจของเราและสังคม?
ถ้าเราสร้างสังคมบนความเกลียดชัง เราก็จะอยู่ในความเกลียดชังนั้น แต่ถ้าเราปลูกวัฒนธรรมแห่งความเข้าใจ ความยุติธรรม และความห่วงใยต่อกัน เราก็จะได้สังคมที่กล้ายืนหยัดเพื่อศักดิ์ศรีของทุกชีวิต ความรักชาติที่มีคุณค่า ไม่วัดจากเสียงโห่ร้องแห่งความเกลียดชัง แต่จากความกล้าที่จะยืนหยัดเพื่อศักดิ์ศรีของทุกชีวิต แม้ในวันที่ชาติสั่นคลอน
ประเทศไทยมีพันธกรณีต่อกฎหมายสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศหลายฉบับ รวมถึงอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน (CAT) และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (IHL) ซึ่งกำหนดให้ทุกฝ่ายเคารพศักดิ์ศรีของพลเรือนและจำกัดผลกระทบของความรุนแรง เพราะแม้ในยามที่มนุษย์ต้องต่อสู้กัน เรายังต้องไม่สูญเสียความเป็นมนุษย์
บทเรียนจากรวันดา
ปี 1994 ขบวนการ “ฮูตู พาวเวอร์” ปลุกระดมความเกลียดชัง โดยอ้างว่าเป็น “การปกป้องชาติ” จากชนกลุ่มน้อยทุตซี ไม่ถึงร้อยวัน มีผู้ถูกสังหารกว่า 800,000 คน — เพียงเพราะเกิดผิดชาติพันธุ์
รวันดาคือบทเรียนของมนุษยชาติ: ความมั่นคงของรัฐไม่อาจมาก่อนความมั่นคงของชีวิต ความเงียบของโลกในเวลานั้น คือบาดแผลที่ยังไม่สมาน
ความรักชาติแท้จริงไม่อาจตั้งอยู่บนซากศพของเพื่อนมนุษย์ การปกป้องประเทศจะไร้ค่า หากไม่ปกป้องศักดิ์ศรีของทุกชีวิต
เสียงของผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯ จากทั่วประเทศ
- “อินฟลูเอนเซอร์ไม่ควรมีอภิสิทธิ์เหนือกฎหมาย การสื่อสารปลุกความคลั่งชาติเป็นภัยต่อสังคม ต้องหยุดตั้งแต่ต้น”
- “คนไทยหรือกัมพูชา เราคือมนุษย์เหมือนกัน ทุกคนมีสิทธิอยู่ในสันติภาพ ปลอดภัยจากความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติ”
- “ความขัดแย้งไทย–กัมพูชา ผู้มีอำนาจทั้งสองฝ่ายต้องแก้ไขอย่างจริงจัง อย่าปล่อยให้ประชาชนทั้งสองประเทศต้องเกลียดชังและรับเคราะห์จากผลประโยชน์และอำนาจของผู้ปกครอง”
- “สงครามและความขัดแย้งนำมาซึ่งความสูญเสียที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น การจัดการความขัดแย้งควรมุ่งสู่การยุติอย่างสันติ โดยหลีกเลี่ยงความสูญเสียทุกรูปแบบ”
ข้อเรียกร้องเร่งด่วน
ขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนแห่งประเทศไทย ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทย กองทัพ และองค์กรอิสระ เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่ตามหลักสิทธิมนุษยชนสากลอย่างเร่งด่วน โปร่งใส และรับผิดชอบต่อประชาชน รัฐต้องเคารพกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (IHL) ยุติการใช้วาทกรรมชาตินิยม และปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (IO) ที่สร้างความเกลียดชัง และต้องปกป้องศักดิ์ศรีของพลเรือนทุกคนโดยไม่เลือกฝ่าย
ถ้อยแถลงต่อสื่อมวลชน
เราขอเรียกร้องให้สื่อมวลชนทุกแขนงรายงานอย่างรอบด้าน ยึดมั่นในจรรยาบรรณ และไม่ขยายวาทกรรมแห่งความเกลียดชัง สื่อที่มีเกียรติไม่ใช่สื่อที่ปลุกปั่นความกลัว แต่คือสื่อที่กล้าปกป้องสติของสังคม และศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคน
“หน้าที่ของสื่อคือการส่องแสง -ไม่ใช่ขยายความมืดมิด”
พลังของประชาชนงดงามเสมอ หากเรียกร้องเพื่อสิทธิมนุษยชน ความยุติธรรม และประชาธิปไตย เราขอให้ประชาชนใช้พลังนั้น ตั้งคำถามต่ออำนาจที่ได้รับ:
- ทำไมประชาชนยังเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ไม่ได้ 100%?
- ทำไมประชาชนจึงไม่มีสิทธิแก้รัฐธรรมนูญทุกหมวดทุกมาตรา?
- ทำไมเศรษฐกิจยังล้มเหลว ขณะที่ความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้นและผู้คนต้องฆ่าตัวตาย?
- ทำไมความขัดแย้งในบ้านเมืองและชายแดนยังไม่คลี่คลาย?
- หรือกรณีการซื้อหุ้นบางจาก เป็นการฟอกเงินของอดีตนายกฮุน เซน และของคุณทักษิณ ชินวัตร หรือไม่?
- รัฐมนตรีอย่างคุณธรรมนัส มีส่วนเกี่ยวข้องกับอินฟลูเอนเซอร์ดังกล่าวหรือไม่?
- และทั้งหมดนี้เกี่ยวพันกับเครือข่ายสแกมเมอร์ ที่ปล้นทรัพยากรและศักดิ์ศรีของประชาชนหรือไม่?
เราขอให้รัฐตอบคำถามเหล่านี้ด้วยความจริง และขอให้ประชาชนใช้พลังของตน ตั้งคำถามต่อไปด้วยความกล้าหาญและมีสติ เพราะประชาชนไม่ใช่ผู้สมรู้ร่วมคิดในความเงียบหรือความเกลียดชัง แต่คือเจ้าของอำนาจอธิปไตย มีสิทธิรู้ ถาม และเปลี่ยนแปลงอนาคตของตนเอง
บทเรียนจาก 14 ตุลาคม
การตื่นตัวทางการเมืองหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 คือจุดเปลี่ยนสำคัญของอุดมคติทางการเมืองไทยสมัยใหม่ ในวันที่นิสิตนักศึกษาและประชาชนลุกขึ้นตั้งคำถามต่ออำนาจ สังคมไทยได้เรียนรู้ว่า อำนาจรัฐมีความหมายก็ต่อเมื่อประชาชนกล้ายืนหยัดในศักดิ์ศรีของตนเอง ความเข้มแข็งของชาติไม่ได้มาจากความเงียบ แต่จากสังคมที่ยอมรับการตรวจสอบของประชาชนบนหลักสิทธิ เสรีภาพ ความยุติธรรม และความรับผิดชอบร่วมกัน ชาติที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ชาติที่ไม่เคยผิดพลาด แต่คือชาติที่กล้ายอมรับความจริงและลุกขึ้นแก้ไขด้วยศักดิ์ศรี
เราขอประกาศอีกครั้ง
เรายืนเคียงข้าง อังคณา นีละไพจิตร และประชาชนทุกคน ไม่ใช่เพราะเห็นด้วยในทุกถ้อยคำของพวกเธอและเขา แต่เพราะเรายืนข้างหลักการเดียวกัน — มนุษย์ทุกคนมีสิทธิในความปลอดภัย ศักดิ์ศรี และความจริง ความมั่นคงแท้จริงไม่อาจตั้งอยู่บนความกลัว สันติภาพไม่อาจเกิดจากการปลุกความเกลียดชัง และความยุติธรรมไม่อาจบังเกิด หากรัฐและผู้มีอำนาจไม่ยอมรับความรับผิดชอบ
ขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนแห่งประเทศไทย
(Community Women Human Rights Defenders Collective of Thailand)
วันที่ 14 ตุลาคม 2568
หมายเหตุ
ขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน เป็นขบวนรากหญ้าตัวแทนผู้หญิงจากชุมชนทั่วประเทศ ที่ต่อสู้ใน 19 ประเด็น
เราคือแม่ คนทำงานดูแล ชนเผ่าพื้นเมือง ชนบทและคนจนเมือง แรงงานสิ่งทอ แรงงานไร้ที่ดินทำกิน พนักงานบริการ และเยาวชนนักกิจกรรม ที่ทุ่มเทรักษาชีวิต ผืนดิน และวิถีชีวิตของครอบครัวและชุมชน
เราลุกขึ้นสู้เพื่อที่ดินและที่อยู่อาศัย ต่อต้านเหมืองแร่และโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ เรียกร้องสิทธิและการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายให้ผู้หญิงแรงงานข้ามชาติ ผู้ลี้ภัย ผู้หญิงพิการ และสนับสนุนผู้หญิงในพื้นที่ความขัดแย้งสามจังหวัดภาคใต้ของไทยและในพม่า รวมถึงเรียกร้องค่าตอบแทนแม่และคนทำงานดูแล (Care Income)
ขอบคุณข้อมูลจาก The Story of แม่หญิงไฟ้ท์