ด่วน! ศาลอาญารับฟ้อง 7 กกต. 1 เลขาธิการ ฐานใช้อำนาจโดยมิชอบ ปมคดีฮั้ว สว.

วันที่ 23 ธันวาคม 2568 นายอัครวัฒน์ พงศ์ธนาชลิตกุณ สว.สำรอง พร้อมด้วยกลุ่ม สว.สำรอง และทีมทนายความ เดินทางไปยังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เพื่อรับฟังคำสั่งในชั้นตรวจฟ้อง ภายหลังยื่นฟ้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. โดยมี นายอิทธิพร บุญประคอง พร้อมคณะ กกต. รวม 7 คน และนายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. เป็นจำเลย ในข้อกล่าวหาใช้อำนาจโดยมิชอบเกี่ยวกับการฮั้วเลือกตั้ง สว.

นายอัครวัฒน์ ระบุว่า การต่อสู้ครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อนำข้อเท็จจริงมาสู่สังคม เพื่อให้ประชาชนและคนไทยได้รับรู้ว่ากระบวนการที่เกิดขึ้นนั้นมีความจริงเป็นอย่างไร โดยยืนยันว่ามีการรวมหัวกัน ใช้โพยใบสั่ง และจัดตั้งกลุ่มบุคคลเพื่อกระทำการบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเมืองไทย ซึ่งตลอดระยะเวลา 1 ปี 5 เดือนที่ผ่านมา กลุ่ม สว.สำรอง ไม่เคยหยุดการต่อสู้และไม่ย่อท้อ ทั้งยังได้รับกำลังใจจากภาคประชาสังคมอย่างต่อเนื่อง

นายอัครวัฒน์ กล่าวต่อว่า ตนเป็นผู้ยื่นฟ้องคดีอาญาต่อ กกต. ทั้ง 7 คน รวมถึงนายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. แม้เวลาจะผ่านไปแต่ความจริงยังไม่ปรากฏ จึงตัดสินใจนำเรื่องเข้าสู่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นับตั้งแต่ศาลรับคำฟ้องและเอกสารสำนวน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและความชอบธรรมกับทุกฝ่าย พร้อมย้ำว่า การดำเนินคดีครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความบาดหมางส่วนตัว แต่เป็นการต่อสู้เพื่อให้เกิดความสุจริตและความเที่ยงธรรมในทุกภาคส่วน

ทั้งนี้ นายอัครวัฒน์ ระบุว่า ศาลได้แสดงความเมตตาต่อผู้ร้อง เนื่องจากเห็นว่าเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง ไม่สามารถปล่อยให้เงียบหายไปได้ พร้อมระบุว่าวันนี้ถือเป็นวันที่สำคัญและเป็นประวัติศาสตร์ เนื่องจากศาลคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางรับคำฟ้องไว้พิจารณา หลังจากนี้ศาลจะมีหนังสือแจ้งไปยังจำเลยทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วย กกต. 7 คน และเลขาธิการ กกต. 1 คน เพื่อให้จัดส่งเอกสารชี้แจงข้อกล่าวหาภายในระยะเวลา 30 วัน นับจากวันที่ศาลมีคำสั่ง โดยกำหนดให้วันที่ 23 มกราคม 2569 เป็นวันสุดท้ายในการส่งคำชี้แจง และศาลจะเร่งพิจารณาคดีดังกล่าวโดยเร็ว

นายอัครวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ไม่มีความจำเป็นต้องรอคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้งเกี่ยวกับกรณี สว. 138 คนที่ผ่านมา เนื่องจากเรื่องดังกล่าวล่วงเลยเวลามากว่า 1 ปี ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายอย่างชัดเจน และจำเป็นต้องพิสูจน์ในชั้นศาลว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป พร้อมย้ำว่าขณะนี้ทุกอย่างได้สิ้นสุดลงแล้ว และยังมีความผิดอีกหลายกรรม โดยตนได้แจ้งความไว้ทั้งหมด 4 กรรม ซึ่งแต่ละกรรมอาจเป็นการแบ่งหน้าที่กันกระทำหรือไม่ ต้องให้จำเลยพิสูจน์ตัวเองต่อศาล

นายอัครวัฒน์ แสดงความหวังว่า คดีนี้จะทำให้ประชาชน รวมถึงผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา ปี 2567 ได้เห็นแสงสว่างและความเป็นธรรม พร้อมย้ำว่าประเทศไทยยังมีข้าราชการที่ดี และฝ่ายตุลาการยังเป็นที่พึ่งของประชาชนได้

สำหรับการเลือกตั้งที่จะมาถึง หากไม่มีเหตุให้ต้องเลื่อนออกไป นายอัครวัฒน์ แสดงความเชื่อมั่นว่า กกต. จะไม่สร้างปัญหาเพิ่มเติม โดยเฉพาะภายใต้การทำหน้าที่ของประธานศาลคนใหม่ ซึ่งตนเชื่อมั่นว่าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตรงไปตรงมา สุจริต และเที่ยงธรรมต่อประชาชน การรับผิดชอบคดีขนาดใหญ่ในลักษณะนี้จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อกระบวนการเลือกตั้ง และทำให้ประชาชน รวมถึงนักการเมือง ได้ผู้แทนที่ดีเข้าสู่สภา…