คำแนะนำอย่างจริงใจ 5 นิสัยในการใช้ “น้ำยาล้างจาน” ที่อันตราย ควรเลิกทำทันที เพราะยิ่งใช้ไปนานๆ ไม่ต่างจากตายผ่อนส่ง
การล้างจานคือการขจัดคราบมัน และอาหารที่เหลือ ซึ่งสามารถย่อยสลายและกักเก็บแบคทีเรียทุกชนิด อาหารหลายชนิดที่เรากินมีน้ำมัน ไขมันสัตว์ และโปรตีนที่ไม่ละลายน้ำสูง หากคุณจุ่มจานที่ทาน้ำมันลงในน้ำ คุณจะเห็นน้ำไหลออกจากจาน เนื่องจากน้ำไม่สามารถละลายน้ำมันได้ ดังนั้นคุณจึงต้องมีสารที่สามารถจับน้ำและน้ำมันเข้าด้วยกัน เพื่อล้างออกได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม การใช้ “น้ำยาล้างจาน” แบบผิด ๆ อาจเป็นอันตรายมากกว่าเดิม เหมือนกับการดื่ม “สารพิษ” เข้าไป
และนี่คือ 5 นิสัยการใช้น้ำยาล้างจานที่เป็นอันตรายที่ควรเลิกทำทันที เพื่อปกป้องสุขภาพของตัวเองและครอบครัว
1. ไม่เจือน้ำหรือใช้น้ำยาล้างจานมากเกินไป
หลายคนเชื่อว่าการเทน้ำยาล้างจานเข้มข้นลงบนจานจะช่วยให้ล้างออกได้ดีขึ้น แต่จริงๆ แล้วไม่เป็นเช่นนั้น ตามที่นักวิจัยชี้ให้เห็น การไม่เจือน้ำยาล้างจานไม่เพียงแต่ทำให้สิ้นเปลือง แต่ยังมีความเสี่ยงที่สารเคมีจากน้ำยาจะตกค้างอยู่บนจาน เมื่อเราใช้จานในครั้งถัดไป สารเหล่านี้อาจเข้าไปติดอาหารและถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งในระยะยาวอาจก่อให้เกิดโรค
ดังนั้น คำแนะนำคือ ควรใช้จานใบเล็กเพื่อนำน้ำยาล้างจานไปเจือจางกับน้ำ และคนให้เข้ากันจนเกิดฟองก่อนใช้งาน หรือสามารถหยดน้ำยาล้างจานลงบนฟองน้ำที่ชุบน้ำและทำให้เกิดฟองในจานแยกแล้วใช้ขัดล้าง
นอกจากนี้ บางครั้งเมื่อเห็นจานชามสกปรกมาก บางคนอาจกลัวว่าจะล้างไม่สะอาดจึงเลือกใช้ปริมาณน้ำยาล้างจานมากกว่าปกติ แต่ผลของการทำเช่นนี้คือจะล้างสารเคมีออกได้ยาก สารเหล่านี้อาจเข้าสู่เนื้ออาหารเมื่อคุณใช้จานชามนั้นอีกครั้งถ้าไม่ล้างให้สะอาด
2. ล้างจานอย่างผ่านๆ
บางคนอ้างว่าไม่มีเวลาในการล้างจานจึงมักล้างแบบผ่านๆ แค่ไม่เห็นฟองก็คิดว่าล้างสะอาดแล้ว แต่จริงๆ แล้ว ด้วยประสาทสัมผัสของเรา มันยากที่จะมองเห็นสารเคมีที่ตกค้างอยู่บนจานชามหากเพียงแค่ล้างผ่านๆ ดังนั้นเพื่อกำจัดสารเหล่านี้ออกไป จำเป็นต้องล้างด้วยน้ำสะอาดให้ละเอียด 2-3 ครั้งหลังจากล้างน้ำยาล้างจานแล้ว
3. แช่จานชามในน้ำยาล้างจานนานๆ
บางคนคิดว่าจานที่สกปรก ควรแช่ในน้ำยาล้างจานเจือจางเพื่อให้ล้างออกได้ง่ายขึ้น การทำเช่นนี้กลับเพิ่มความเสี่ยงที่สารเคมีจะซึมเข้าสู่อุปกรณ์การกินและการทำอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตะเกียบและช้อนที่ทำจากวัสดุที่ดูดซับได้ เช่น ไม้ไผ่หรือไม้ธรรมชาติ เพราะวัสดุเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะดูดซับสารเคมีมากกว่า
4. ใช้น้ำยาล้างจานกับจานชามที่แตก
การใช้น้ำยาล้างจานเพื่อทำความสะอาดถ้วย ชาม หรือภาชนะเซรามิกที่มีรอยแตก มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้สารเคมีตกค้างอยู่บนผิวของรอยแตกเหล่านั้น แม้จะล้างด้วยน้ำสะอาดอย่างละเอียดเพียงใดก็ตาม
5. ใช้น้ำยาล้างจานที่ไม่มีแหล่งที่มาชัดเจน
ผลิตภัณฑ์น้ำยาล้างจานที่ไม่มีแหล่งที่มาชัดเจนอาจมีสารพิษที่ไม่อนุญาตให้ใช้ หลายคนเชื่อว่าสิ่งนี้ทำให้มือแห้งและหยาบกร้านเพียงเท่านั้น แต่ผลงานวิจับหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า สารพิษในน้ำยาล้างจานที่ไม่มีแหล่งที่มาชัดเจน สามารถซึมผ่านผิวหนังเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเดินอาหารและระบบหายใจ ทำให้เกิดมะเร็งและโรคอันตรายอื่นๆ
ดังนั้นควรใช้ผลิตภัณฑ์น้ำยาล้างจานที่มีคุณภาพและมีแหล่งที่มาชัดเจน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำความสะอาดและปลอดภัยต่อสุขภาพ