ครูประสบการณ์ 40 ปี เผย แค่ดูท่านั่งพ่อแม่วันประชุมผปค. รู้เลยชีวิตเด็กจะดีหรือลำบาก

คุณครูที่สอนมากว่า 40 ปี พูดตรง ๆ แค่ดูท่าทางการนั่งของพ่อแม่ตอนมาประชุมผู้ปกครอง ก็รู้ได้ทันทีว่าสถานะชีวิตของลูกจะราบรื่นมั่งคั่ง หรือพบแต่ความลำบาก

ต่อไปนี้คือคำบอกเล่าของครูเฉิน ครูผู้มีประสบการณ์สอนมากว่า 40 ปีในประเทศจีน

ฉันเป็นครูสอนวิชาภาษาจีน เคยยืนสอนอยู่หน้าชั้นเรียนมากว่า 40 ปี ผ่านทั้งยุคที่ยังใช้กระดานดำกับชอล์กสีขาว จนถึงวันนี้ที่เทคโนโลยีเข้ามาอยู่ในห้องเรียน ฉันพบเจอนักเรียนและผู้ปกครองนับไม่ถ้วน บางคนเติบโตประสบความสำเร็จ เป็นหมอ วิศวกร บางคนทำธุรกิจ ขายของ เป็นแรงงาน และบางคนก็หลงทางในชีวิต ซึ่งฉันก็ไม่สามารถฉุดรั้งไว้ได้

ทุกครั้งที่ถึงฤดูประชุมผู้ปกครอง ฉันมักสังเกตสิ่งหนึ่งที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง นั่นคือ “ท่านั่งของพ่อแม่” ฉันไม่ใช่คนงมงายกับเรื่องโชคลาง แต่ฉันเชื่อว่าร่างกายสามารถสื่อสารบางสิ่งได้โดยไม่ต้องใช้คำพูด ท่าทางเวลาที่ใครสักคนนั่งลงในห้องที่ไม่คุ้นเคย เพื่อฟังเรื่องราวของลูกตัวเอง มักบอกอะไรได้มากกว่าที่คิด

มีผู้ปกครองบางคน เมื่อเดินเข้าห้องประชุม ท่าทางสงบนิ่ง หลังตรง ดวงตาเรียบเฉย เขานั่งลงอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับคุ้นเคยกับสถานที่นี้ดี พวกเขาไม่เร่งร้อน ไม่ประหม่า และไม่แสดงท่าทีโอ้อวดใด ๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉันก็รู้ได้ทันทีว่า ลูกของคนเหล่านี้เติบโตมาในครอบครัวที่อาจไม่ร่ำรวยนัก แต่มั่นคง และได้รับการเลี้ยงดูด้วยความเคารพและความเข้าใจ

ในขณะเดียวกัน ก็มีผู้ปกครองบางคน เพิ่งก้าวเข้าห้องมาก็รีบขอโทษที่มาสาย บ่าห้อยถุงผ้าขาด ๆ มือยังเปื้อนคราบสีหรือน้ำมันเครื่อง บางทีเขาเพิ่งกลับจากการเป็นช่างซ่อมรถ รับจ้างก่อสร้าง หรือเดินตลาดสดมา

พวกเขานั่งลงอย่างเกร็ง ๆ มองซ้ายมองขวา แล้วหันไปดูนาฬิกา เพราะห่วงว่าลูกที่บ้านจะยังไม่ได้กินข้าว คนแบบนี้ ต่อให้ไม่พูด ฉันก็เข้าใจว่าชีวิตพวกเขาเต็มไปด้วยความลำบาก ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงครอบครัว และลูกของเขาก็เติบโตมาท่ามกลางความกดดันที่คนอื่นมองไม่เห็น

ฉันยังจำได้ดี ครั้งหนึ่งในการประชุมผู้ปกครองของห้อง 9A มีคุณแม่สองคนมาถึงพร้อมกัน คนแรกสวมเสื้อเชิ้ตขาว ถือกระเป๋าหนัง ใส่รองเท้าส้นสูง มานั่งลงและเปิดสมุดออกมาจดทันที อีกคนใส่เสื้อกันแดด ยังไม่ถอดหมวกกันน็อก ถือถุงผักในมือ เธอมองไปรอบห้องอย่างลังเล ก่อนจะถามฉันว่า “คุณครูคะ ห้องลูกสาวหนูประชุมที่นี่ใช่ไหมคะ?”

ฉันพยักหน้า และในวินาทีนั้น ฉันก็รู้ได้เลยว่า ลูกของคนแรกน่าจะได้เรียนพิเศษตามสถาบันต่าง ๆ ถูกสนับสนุนเต็มที่ ส่วนลูกของอีกคน อาจเป็นเด็กดีคนหนึ่ง แต่ต้องเติบโตท่ามกลางความฝันและความเป็นจริงที่ไม่ง่ายนัก

บางคนบอกว่าฉัน “ตัดสินคนจากภายนอก” แต่จริง ๆ แล้ว ฉันแค่ใช้ประสบการณ์สังเกตและรับรู้ บางครั้ง “ความมั่งมี” ไม่ได้อยู่ที่กระเป๋าเงิน แต่อยู่ในแววตาที่มั่นใจของพ่อแม่ที่เชื่อในลูก ส่วน “ความลำบาก” ก็ไม่ใช่แค่เสื้อผ้าที่ซีดเก่า แต่อยู่ในความรู้สึกไม่มั่นใจ ที่ทำให้ผู้ใหญ่บางคนไม่กล้าแม้แต่จะยืนข้างคนอื่นในพื้นที่การศึกษา

ตลอด 40 ปีที่ทำอาชีพนี้ ฉันไม่เคยหยุดเชื่อในสิ่งหนึ่งเลย นั่นคือ เด็ก ๆ อาจไม่มีสิทธิ์เลือกว่าจะเกิดที่ไหน แต่พวกเขาสามารถเลือกได้ว่าจะเติบโตอย่างไร หากผู้ใหญ่มีหัวใจที่เปิดกว้างมากพอ แต่ก่อนอื่น เราควรให้เด็กได้เห็นว่า ไม่ว่าอย่างไร พ่อแม่ของพวกเขาก็สมควรที่จะได้นั่งอย่างสง่างามและมั่นใจในทุกห้องเรียน ที่มีครูของลูกเขากำลังสอนอยู่

เพราะไม่ว่าเขาเป็นใคร พ่อแม่ทุกคนล้วนพยายามในแบบของตนเอง และตราบใดที่เขายังมาประชุมผู้ปกครองให้ลูก ฉันเชื่อว่า เขายังเป็นส่วนสำคัญของเส้นทางการศึกษา และเป็นแรงสนับสนุนสำคัญในการเติบโตที่มีความหมายของลูกคนหนึ่งเสมอ