เด็กชายวัย 12 หนีออกจากบ้านหลังถูกพ่อดุเรื่องติดมือถือ สุดท้ายรับรู้ข่าวเศร้า… ทำให้เสียใจไปตลอดชีวิต
เพราะบางครั้งการหันหลังแค่ครั้งเดียว อาจทำให้สูญเสียกันตลอดไป… เกิดเหตุสะเทือนใจที่เมืองผิงเซียง มณฑลเจียงซี ประเทศจีน เด็กชายวัย 12 ปีที่หลงใหลในการใช้โทรศัพท์มือถือ ถูกพ่อของเขาดุและลงไม้ลงมือเพราะความไม่พอใจ จึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านด้วยความโกรธ แต่สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดคือ นั่นคือครั้งสุดท้ายที่เด็กชายจะได้เห็นหน้าพ่อของเขา…
ผ่านไปเพียงสองวัน พ่อของเด็กชายซึ่งมีอาชีพเป็นพนักงานส่งอาหาร ประสบอุบัติเหตุทางถนนขณะปฏิบัติหน้าที่ แม้จะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน แต่สุดท้ายแพทย์ก็ไม่สามารถยื้อชีวิตเขาไว้ได้ เมื่อครอบครัวได้รับข่าวร้าย จึงรีบออกตามหาเด็กชาย โดยหวังให้เขาได้เจอหน้าพ่อเป็นครั้งสุดท้าย กระทั่งพบตัวเด็กที่ศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง แต่ทุกอย่างก็สายเกินไปแล้ว
ในคลิปวิดีโอที่เผยแพร่บนโซเชียล เด็กชายยังคงมีสีหน้าโกรธเคือง ไม่ยินดีที่จะกลับบ้าน เพราะยังไม่รู้ว่าการ “งอน” ครั้งนี้ ได้ทำให้เขาพลาดโอกาสสุดท้ายในการกล่าวคำอำลากับพ่อไปตลอดกาล
เรื่องราวนี้จุดกระแสสะท้อนสังคมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในครอบครัว โดยเฉพาะปัญหาระหว่างพ่อแม่กับลูกที่เกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยี เด็กติดมือถือ พ่อแม่รู้สึกหมดหนทาง หันมาใช้คำดุด่า หรือแม้กระทั่งความรุนแรง ขณะที่เด็กๆ เองก็เลือกหลีกหนีจากการเผชิญหน้า โดยไม่รู้เลยว่าความเย็นชาในวันนี้ อาจนำมาซึ่งความเสียใจที่ไม่มีวันย้อนคืน
ความคิดเห็นหนึ่งในโซเชียลมีเดียเขียนไว้ได้อย่างลึกซึ้งว่า “ลูกเอ๋ย ลูกได้อิสระแล้ว…แต่คนที่เคยรักและดูแลลูก จะไม่มีวันกลับมาอีกเลย” คำว่า “อิสระ” ในครั้งนี้ จึงกลายเป็นราคาที่ต้องจ่ายด้วยชีวิตคนสำคัญ และความเสียใจที่อาจติดตัวไปตลอดชีวิต
ในความเป็นจริง เด็กยุคนี้เติบโตท่ามกลางเทคโนโลยี ขณะที่ผู้ใหญ่เองก็มักใช้โทรศัพท์มือถืออย่างหนัก แต่กลับห้ามเด็กยุ่งเกี่ยว เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น หลายครอบครัวเลือกใช้เสียงดังแทนความเข้าใจ ใช้คำสั่งแทนการสื่อสาร และใช้ความรุนแรงแทนความอดทน โทรศัพท์อาจเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหา แต่สิ่งที่น่ากลัวจริงๆ คือ “ช่องว่างของความเข้าใจ” ระหว่างพ่อแม่กับลูกต่างหาก
ในฐานะพ่อแม่…ขอให้ใจเย็นและเปิดใจให้มากขึ้น ในฐานะลูก…ขอให้ไม่หนีและไม่ปิดใจเมื่อมีปัญหา เพราะเราไม่มีวันรู้เลยว่า “ครั้งหน้า” ที่เราจะได้เห็นหน้ากันอีก…จะมีอยู่จริงหรือไม่