นพ.พงศ์ธร ชาติพิทักษ์ ผู้อำนวยการกองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์กรณี จ.มหาสารคาม รายงานการพบผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 443 รายในปี 2568 ว่า โดยปกติกรมควบคุมโรคมีการเก็บตัวเลขรายปี ซึ่งแต่ละปีก็จะพบผู้ป่วยเฉลี่ยประมาณ 400 – 500 รายตามที่ปรากฏในข่าว ไม่ใช่ว่า จ.มหาสารคาม ไม่เคยพบผู้ป่วยมาก่อนแล้วมาเจอในปีนี้เยอะ
โดยกองโรคเอดส์ฯ ได้จัดทำศูนย์รวมข้อมูลสารสนเทศ ด้านเอชไอวี โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคไวรัสตับอักเสบบีและซีของประเทศไทย ผ่านเว็บไซต์ hiv info hub ซึ่งประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบข้อมูลหรืออ่านบทความที่เกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ดังนั้นตัวเลขผู้ป่วยไม่ได้ถูกปิดบังอะไร ผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปดูข้อมูลรายจังหวัดได้
นพ.พงศ์ธร กล่าวว่า สำหรับการติดโรคทางเพศสัมพันธ์ เป็นสิ่งที่ต้องระวังอยู่แล้ว แต่ถ้าถามถึงตัวเชื้อไวรัสความรุนแรงขึ้นทำให้เกิดการระบาดเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้น ยังไม่มีความน่ากังวลเรื่องนี้ ดังนั้นในแง่การเฝ้าระวังและป้องกันตัวเองยังมีความจำเป็นอยู่
ขณะนี้พบว่าอัตราการสวมถุงยางอนามัยระหว่างมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นนั้นลดลงมาก อาจเพราะไม่ได้มีข่าวว่าพบผู้ป่วย คนเลยคิดว่าไม่มีโรคนี้แล้ว จึงไม่ได้ป้องกัน ไม่ได้สวมถุงยางอนามัย ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) โรคซิฟิลิส โรคหนองใน พบสูงขึ้นมากในกลุ่มวัยรุ่นเยาวชน โดยเฉพาะโรคซิฟิลิสและโรคหนองใน อัตราเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยสูงถึง 6 เท่าเมื่อเทียบกับ 3-4 ปีที่ผ่านมา
“การติดเชื้อเอชไอวีในปัจจุบัน ถ้าผู้ป่วยมารับยาไปกินอย่างต่อเนื่องก็จะลดโอกาสแพร่เชื้อได้ต่ำมาก แทบไม่แพร่เชื้อเลย แต่ก็จะมีคนบางกลุ่มที่ไม่ได้กินยาก็จะมีโอกาสในการแพร่เชื้อได้” นพ.พงศ์ธร กล่าว
นพ.พงศ์ธร กล่าวว่า จ.มหาสารคาม ไม่ใช่จังหวัดเดียวที่ควรกังวล ถ้าดูเฉพาะผู้ป่วยรายใหม่ แต่ไม่ได้เทียบจากสัดส่วนประชากร ในปีที่ผ่านมาพบว่าจังหวัดที่พบโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพิ่มสูงขึ้นและมีความน่ากังวล ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี เชียงใหม่ นครราชสีมา เป็นต้น
ดังนั้นสิ่งที่อยากจะสื่อสารก็คือการสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนในเรื่องของการป้องกันส่วนบุคคลเพื่อลดโอกาสติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ การสวมถุงยางอนามัยมีความจำเป็นอย่างมาก ไม่ใช่แค่ลดโอกาสการตั้งครรภ์แต่ยังลดโอกาสติดโรคทางเพศสัมพันธ์ด้วย