เรียกว่าช็อกจนแทบจะวูบไปเลย สำหรับนักแสดงสาวชื่อดังยุค 90 นุ๊ก สุทธิดา หลังตั้งความหวังบินไปรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ประเทศจีน แต่ปรากฏว่ายังทำไม่ได้ เพราะเจอก้อนเนื้อเพิ่มขึ้นมา อีกทั้งมะเร็งยังกระจายไปที่ปอดแล้วด้วย
ล่าสุด นุ๊ก สุทธิดา ได้ออกมาเปิดใจกับสื่อมวลชนว่า “สำหรับโรงพยาบาลนี้ (โรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่สแตมฟอร์ดกว่างโจว ที่กรงุเทพฯ) พี่โก้ (ธีรศักดิ์ พันธุจริยา) เป็นคนแนะนำค่ะ เพราะบ้านพี่โก้เองเขาก็วุ่นวายกับเรื่องนี้พอสมควร เขาก็เป็นคนไปหามา เขาก็ถามว่านุ๊กมีแผนสองไหม ลองมาที่นี่ดู ซึ่งตอนแรกๆ เราก็แค่มาร่วมกิจกรรมมาฟัง เรายังไม่ได้สนใจที่จะรักษา แต่พอได้คุยกับคุณหมอที่บินมาจากประเทศจีน ได้ฟังเรื่องนวัตกรรมหรือแนวทางการรักษาของเขา วิธีการที่เขามองมะเร็งหรือกินอาหาร โดยรวมแล้วมันค่อนข้างที่จะตรงจริตกับเรา เราก็เลยรู้สึกว่าแนวทางนี้เป็นแนวทางที่ดี ทำให้เราอยากจะทำการรักษามากขึ้น จากเมื่อก่อนที่รู้สึกว่ายังไม่พร้อมจริงๆ”
แนวทางการรักษาที่ผ่านมาคืออะไรบ้าง ?
“ผ่าตัด แล้วก็เอามะเร็งในส่วนของไทรอยด์ออกไปเรียบร้อยแล้ว แล้วก็มีมะเร็งที่กระจายไปทางต่อมน้ำเหลืองอีกประมาณ 16 จุด ก็เอาออกไปได้เกือบหมด หลังจากนั้นก็เป็นการกลืนแร่หรือให้คีโม แต่ว่าการกลืนแร่ คุณหมอก็หวังว่าจะทำให้มะเร็งที่เกือบหมดหรือหมดไป แต่ปรากฏว่ามันก็ยังไม่หมดไป หลังจากนั้นเราก็อยู่ในขั้นตอนของการตรวจเลือดทุก 3 เดือน และอัลตร้าซาวด์ทุก 6 เดือน ว่าอันที่เหลือมันโตขึ้น และมันโตขึ้นมากแค่ไหนในทุกๆ 6 เดือน ก็ยังเป็นแนวการรักษาเบื้องต้น”
“หมอบอกว่าถ้าเราไม่สบายใจ หรือมองว่ามันโตขึ้น เราก็อาจจะผ่าได้ แต่ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเรายังไม่อยากผ่า ซึ่งตอนนี้เราก็ยังไม่อยากผ่าตัด ด้วยความที่มันมีช้อยส์แค่นี้ แต่พอมาที่โรงพยาบาลนี้ก็ได้คุยมากขึ้น ทางโรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่ เขาก็สมัยใหม่มีช้อยส์ให้เราเลือกมากขึ้นอีก 2-3 ช้อยส์ แต่พอไปคุยจริงๆ และได้ทำการตรวจอย่างละเอียดแล้ว เขาก็ให้เหลืออยู่แค่ 2 ช้อยส์ ก็คือผ่าตัดไปเลย ซึ่งเราก็ยังไม่อยากจะเลือกอันนั้น กับอีกช้อยส์นึงก็คือเป็นการฉีดเซลล์ต้นกำเนิด (สเต็มเซลล์) ซึ่งตรงนั้นมันช่วยเรื่องภาวะภูมิตก”
“เรารู้ว่าเวลาที่คุณหมอพูดว่าคนเป็นมะเร็ง ภูมิมันตกง่าย เราก็เลยรู้สึกว่ามันจริง มันทำให้เรารู้สึกว่าอยากจะไปฉีดเซลล์ต้นกำเนิดนี้ และอีกอย่างหนึ่งมันก็ช่วยทำให้เซลล์โดยรวมของเราแข็งแรง และขยายใหญ่ขึ้น มันก็จะเป็นการชะลอ ซึ่งการตรวจเช็กทั้งหมดเป็นการไปตรวจเช็กจากที่ไทยด้วย แต่บางครั้งซีดีของไทยกับของจีนเปิดไม่เหมือนกัน ก็มีหลายคนเหมือนกันที่ไปแล้วเอาผลตรวจของไทยไป แล้วก็ไปเปิดไม่ได้ก็ต้องการทำการตรวจใหม่โดยละเอียดอีกทีนึง”
เห็นว่าไปตรวจที่จีนถึงได้รู้ว่าเป็นเพิ่ม ?
“ตอนแรกตั้งใจจะไปฉีดแร่ก็เลยคิดว่าสบายๆ แค่ฉีดแร่ไม่ต้องผ่าตัด แต่ทีนี้พอคุณหมอไปตรวจดูแล้วปรากฏว่า 1. คือก้อนมันใหญ่กว่าที่คิดไว้ 2. คือมันไม่ได้มีแค่ก้อนเดียว มันมีทั้งหมด 3 ก้อน คุณหมอบอกว่ามันไม่ควรฉีดแร่ และมีจุดเล็กๆ ที่ปอดด้วยนะ เราก็ห๊ะ! เลย คือไม่เคยรู้มาก่อนว่าเป็นตรงนี้ มันจะลามไปที่ปอดง่ายนะ แต่มันก็ดีนะคะ เราจะได้ดูแลตัวเอง เพราะว่าก่อนหน้านี้เราคิดว่าโอเค แต่ก็คือต้องเรียกว่าดีคนละแบบ”
พอได้ยินแล้ววูบเลยไหม ?
“มันก็วูบเหมือนกัน แล้วก็รอลุ้นด้วยว่าวันต่อไปผลตรวจปอดจะเป็นยังไง ซึ่งพอรู้ว่าเกิดขึ้นที่ปอดก็วูบไปวันนึง แต่พอตรวจแล้วคุณหมอไม่ได้พูดอะไรต่อก็แสดงว่าไม่ได้มีอะไร ก็คือพูดแต่ช่วงคอว่ามี 3 จุดนะ ว่าทำไมไม่เอาออกไปให้หมด ก็นั่นน่ะสิ คือทุกคนก็อยากจะเอาออกให้หมด แต่มันไม่หมด มันเยอะมาก”
มันเป็นการลามหรือมีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ?
“คิดว่าน่าจะมีตั้งแต่แรก เพราะว่านุ๊กน่าจะเป็นคนที่ไม่ค่อยใส่ใจตัวเอง นี่แหละคือเหตุผลที่บางคนบอกว่าไม่ตรวจก็ไม่เจอ บางทีมันไม่ใช่ ทุกโรคต้องตรวจ เจอก็คือรักษา แต่ของนุ๊กมันเหมือนว่ามีมานานหลายปีแล้ว แล้วไม่ได้ใส่ใจตัวเอง”
ทำไมถึงยังพร้อมผ่าตัดตอนนี้ ?
“ด้วยความที่ตอนนี้ถ่ายละครด้วย และกำลังทำธุรกิจที่เราจะต้องรัน แล้วก็วางตั้งแต่ก่อสร้างไปถึงทำแผนการธุรกิจเอง มันก็เหมือนว่าเรายังไม่ว่างที่จะถึงขั้นผ่าคอ และใจด้วยแหละ เรายังไม่มีใจที่จะเตรียมผ่าตัดอีกครั้ง แต่ว่าอยากจะเคลียร์ให้มันหายไหม แน่นอนว่ามันก็มีความอยาก ไม่ได้อยากจะอยู่ร่วมกับมะเร็งนานๆ แต่ว่าคิดว่าเรายังไม่พร้อม อาจจะเป็นในเรื่องช้อยส์ที่คุณหมอให้มา ก็คือการไปฉีดเซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งมันก็มีบางประเทศที่เขาอนุญาตให้ฉีดอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งของไทยยังผิดกฎหมายอยู่”
ถ้าไม่ฉีดโอกาสภูมิตกมันจะเร็วขนาดไหน ?
“หลักๆ เลย ความที่เซลล์ต้นกำเนิดมันช่วยในเรื่องของภูมิคุ้มกัน หลักๆ มันจะเป็นในเรื่องของภูมิคุ้มกันที่มันทำให้เราสรวนในแต่ละครั้ง ในแต่ละวัน คือคนเป็นมะเร็งตื่นมามันเหมือนจับฉลาก บางวันตื่นมาหน้าบวมตาบวม หัวปูดไปข้างนึง คือนุ๊กเป็น แต่ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นไหม เหมือนตื่นมาหน้าบวมน้ำ เหมือนเราเอาหัวลงพื้นหรือเปล่า บางทีก็ได้กลิ่นธูป คือรู้ว่าระบบในสมองมันผิดปกติ เหมือนมันมีสมองส่วนหนึ่งสั่งให้เราได้กลิ่นควันเหมือนกลิ่นไหม้ตลอดเวลา อันนี้ก็น่าจะมาจากความสรวน ซึ่งหลักๆ ในการฉีดสเต็มเซลล์ก็น่าจะช่วยในเรื่องของภูมิคุ้มกันขั้นพื้นฐาน ที่เราป่วยอยู่แล้วมันก็ทำให้เซลล์ของเราสมบูรณ์ไปด้วย พอเซลล์มันสมบูรณ์แข็งแรงมันก็ทำให้โอกาสการกลายพันธุ์ของเราน้อยลง”
หมอที่จีนว่ายังไงบ้าง ?
“หมอจีนบอกว่าถ้าคุณยังไม่ผ่าตัดตอนนี้ก็ได้ ด้วยเซลล์มะเร็งของคุณถูกฉีดสีเข้าไป การแอ็กทีฟมันไม่ได้เร่งด่วนถึงขนาดที่จะต้องตัดออกเดี๋ยวนี้ ถ้าคุณคิดว่าคุณอยู่ร่วมกับมันได้ แล้วก็อีกช้อยส์หนึ่งคือการฉีดสเต็มเซลล์ เราก็เลยรู้สึกว่าเราก็ยังมีโอกาส มีทางเลือกอื่นที่มันไม่จำเป็นจะต้องผ่าตัดอย่างเดียว ซึ่งหมอบอกว่าสำหรับคนที่ป่วยก็ควรฉีดอย่างน้อยปีละครั้งก็ได้ แต่ถ้าเกิดคนที่ปกติอาจจะ 2 ปีครั้ง หรือบางคนที่คิดว่าฉีดแล้วโอเคแล้วไม่ต้องฉีดอีกก็ได้”
ขออนุญาตถาม ตอนนี้เป็นมะเร็งระยะไหนแล้ว ?
“คือเป็นสิ่งเดียวที่ไม่กล้าถามหมอเลยไม่ว่าจะหมอคนไหน แต่ของนุ๊กก็ลามไปค่อนข้างเยอะ เพราะอย่างที่บอกว่านุ๊กเป็นมาหลายปีมาก ที่มีก้อนที่คอ แต่ว่าเราไม่ได้ใส่ใจ เราละเลยตัวเองมากๆ คือก่อนหน้านี้ตอนต่อประกันเขาก็ปฏิเสธ เขาบอกว่าผลเลือดเราประหลาด แต่ว่าเราก็หาไม่เจอว่ามันเป็นอะไร”
แล้วมันส่งผลกับการใช้ชีวิตของเรามากน้อยขนาดไหน ?
“ก็คือหลังจากที่ตัดไปแล้วมันเปลี่ยนไปเยอะ อาจจะมีเรื่องของอารมณ์ที่มันสรวน ด้วยความที่ไทรอยด์เราไม่ปกติ ไทรอยด์มันจะเป็นพวกต้นกำเนิดของผมกระดูกเล็บฟันผิวหนังอารมณ์ มันเป็นต่อมไร้ท่อที่มันสร้างผลิตฮอร์โมนหลายอย่างในตัวเรา พอหลังจากที่ผ่าตัดไปเรียบร้อยแล้วมันจะเปลี่ยนไปถล่มทลายเลย”
สามีว่ายังไงบ้าง ?
“ซึ่งพอมีข่าวออกไปว่าเรายังหลงเหลือมะเร็งอยู่ สามีถามเลยค่ะ จากปกติที่ไม่ถามว่าเป็นยังไงบ้าง คือเขาไม่รู้ คือก่อนบินเขาหันมาถามเลยว่ายูไปรักษาตัวเหรอ เราก็บอกว่าใช่ จะไปจีน คือเขาก็สงสัยว่ายังมีมะเร็งอยู่ที่ตัวอยู่เหรอ คือเขาไม่เคยรู้มาตลอด”
“หลังจากที่ที่ผ่าไทรอยด์มา 3-4 ปี เขาไม่เคยรู้เลย และเราก็ไม่ได้พูดด้วยค่ะ แล้วทีนี้พอบินกลับมาเขาก็คงจะรู้สึกผิด เพราะว่าเขาไม่เคยรู้มาก่อน เขาก็ถามตั้งแต่วันที่กลับมาแล้วว่ารักษาเป็นยังไงบ้าง ก็เลยบอกเขาว่าฉันยังไม่อยากจะพูดเรื่องมะเร็งตอนนี้ คุยเรื่องอื่นได้ไหม เพราะฉันไปอยู่โรงพยาบาลมา 3-4 วัน อยู่กับมะเร็ง 3-4 วัน ได้ยินคำว่ามะเร็งๆ”
“แล้วเราไปเยี่ยมผู้ป่วยมะเร็ง เวลาเรากอดกันมันก็รู้สึกร้องไห้ไปด้วยกัน มันก็รู้สึกต่อให้เราบอกว่าโอเค แต่พอเราเห็นเพื่อนร่วมทางของเราไม่ค่อยโอเค เราก็รู้สึก ก็เลยบอกว่ากลับมาอย่าเพิ่งพูดนะ ขอพักแป๊บนึงแล้วก็ทำงาน ไม่ค่อยอยากเล่าให้ใครฟัง เพราะมันยังรู้สึกว่าตัวเองยังสรวนอยู่ ไม่อยากให้ใครเห็นในสภาพที่มันสรวน เพราะว่าเราก็ต้องเป็นตัวอย่างด้วย”
คุณพ่อก็เพิ่งตรวจเจอว่าเป็นมะเร็งด้วยเหมือนกัน ?
“ก็ต้องบอกว่าคุณพ่อนุ๊กก็เป็น เพิ่งตรวจเจอปีนี้แล้วก็รักษา ซึ่งเขาก็ไม่ยอมบอกนุ๊กนะคะว่าเขาเป็นถึงสเต็ปไหนแล้ว ซึ่งมันก็โอเคเพราะว่ามันก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่นุ๊กเชื่อว่าตอนที่เขาให้คีโม เขาป่วยน้อยมาก เขาแข็งแรงมาก เขาน้ำหนักลดไม่กี่กิโล คือน้อยมากถ้าเทียบกับคนแก่อายุเท่าๆ เขา ทุกคนจะต้องล้ม เดินไม่ได้ แต่ว่าเขาเดินได้ปกติ แต่อาจจะมีในเรื่องของระบบย่อย ระบบขับถ่าย และในเรื่องของการทานข้าวที่ทานไม่ลงเพราะเรื่องของคีโม แต่นุ๊กเชื่อว่าส่วนนึงเขาเห็นว่านุ๊กมันยังรอดเลย นุ๊กมันยังใช้ชีวิตปกติ เขาก็เหมือนว่ายังใจสู้ โชคดีที่ลูกชิงเป็นก่อน ก็เลยรู้สึกว่าเวลาเรารู้สึกว่าสรวนเราไม่อยากให้ใครเห็น”
ได้พูดให้กำลังใจคุณพ่อยังไงบ้าง ?
“ก็ไม่ได้ให้กำลังใจกันขนาดนั้นนะคะ แต่จะเป็นการพาไปทานข้าว เน้นให้กินนั่นสิ กินนี่สิ ก็เหมือนลูกคะยั้นคะยอ ไม่อยากกินก็ต้องกินเป็นมารยาทเล็กๆ น้อยๆ แต่แรกๆ ก็กลัวนะคะ แต่พอเริ่มกระบวนการรักษา ก็เริ่มทำใจได้ เพราะเราเข้าใจได้ว่าแรกๆ ทุกคนก็จะรู้สึกกลัว ตกใจ ช็อก แต่พอเข้าโหมดทำใจได้ เริ่มไปรักษา เขาก็ปกติขึ้น นุ๊กกับเขาค่อนข้างใช้ชีวิตคล้ายกันเลย เราปกติมาก ไม่คุยเรื่องมะเร็งเป็นปัจจัยหลักเลยค่ะ อยู่แบบลืมๆ เหมือนไม่มีมันอยู่ด้วยซ้ำ แต่กระบวนการรักษาก็ทำไป”
คุณพ่อเป็นบริเวณไหน ?
“คุณพ่อเป็นที่ลำไส้ค่ะ แต่ตอนนี้เขาก็เบาใจขึ้น เขาโชคดีมากที่ลูกสาวเป็นมะเร็งก่อน (หัวเราะ) เขาก็เลยรู้สึกว่ามีตัวอย่าง คือนุ๊กไม่เคยเครียดให้เขาเห็นนะคะ ไม่เคยแม้แต่ตื่นมาทั้งที่ตัวเองสรวนแล้วบ่นกับคนอื่น นุ๊กรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ต้องพูด บางทีเรายังไม่รู้ตัวเลย จนไปกองถ่ายช่างแต่งหน้าทักว่าไปฉีดหน้าผากมาเหรอ หน้าผากบวม เราก็ถึงรู้ เพราะเริ่มรู้สึกไม่ค่อยสบาย เพราะบางทีเราก็ไม่ได้สังเกตตัวเองด้วย แต่มันก็บวมเป็นกลมๆ เหมือนยุงกัด เหมือนเราอาจจะเครียด เลือดก็เลยไม่โฟลว์หรืออะไรเราก็ไม่รู้ เพราะพอหลังจากผ่ามันก็สรวนไปหมด แต่เราก็พยายามใช้ชีวิตให้มันปกติที่สุด อย่าไปคิดอะไรมาก”
“คือมะเร็งเป็นโรคที่ต้องการกำลังใจมากที่สุด อย่างตำแหน่งที่ได้มาล่าสุด ที่ประเทศจีนเขาก็มองเราว่าดูเป็นคนที่แลดูมีความสุข (หัวเราะ) เขาบอกว่ามะเร็งมันกลัวความสุขนะ เราก็เลยรู้สึกว่าเราต้องมีความสุข เป็นกำลังใจให้ตัวเอง และเป็นกำลังใจให้เพื่อนที่ป่วยอยู่ด้วยกัน วันที่เราเฟล นั่งเครื่องกลับมาถึงไทยเราก็นึกในใจว่าทำไมคนป่วยมะเร็งจะต้องเครียด จะต้องเสียใจ ร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน แล้วพวกที่ป่วยเบาหวาน เป็นไต ทำไมเขาไม่เป็นอะไร แล้วทำไมเราต้องเป็นอย่างนั้น มันก็ไม่จำเป็น บางคนไม่เป็นยังตายก่อนเราก็มี ฉะนั้นก็อย่าไปเครียด เป็นมะเร็งก็แค่เป็นมะเร็ง บางคนบอกว่าให้พูดแค่น้องไหม ไม่ค่ะ มะเร็งก็มะเร็ง คนเป็นไตยังพูดว่าเป็นไต ไม่เห็นจะต้องกลัวเลย เขาไม่กลัว ทำไมเราต้องกลัว”
เรื่องผ่าตัด รอเคลียร์ทุกอย่างให้พร้อมใช่ไหม ?
“ผ่าตัดนี่น่าจะอยู่ที่ใจเราก่อนค่ะ (หัวเราะ) คือนุ๊กคุยกับคุณแหม่ม (วิชุดา พินดั้ม) บอกว่านุ๊กอยากเป็นแหม่มมากเลยนะ บินไปเกาหลีทุกทีแหม่มจะวางยาสลบ จะขึ้นเตียงผ่าตัดแหม่มทำได้ ในเวลาแค่ 5 นาที แหม่มตัดสินใจเลย แล้วนุ๊กเคยอยู่กับเขาตอนนั้น แหม่มเก่งมาก แต่นุ๊กเป็นคนที่เดี๋ยวก่อน เอาไว้ก่อน คือรู้สึกว่าการจะดมยามันเรื่องใหญ่ คือนุ๊กรู้สึกว่าเราตายไปครึ่งนึงแล้วเวลาเราดมยา ไม่ว่าจะคลอดลูกหรืออะไร เท่ากับเราตายไปครึ่งนึงแล้ว ก็เลยรู้สึกว่ายังไม่พร้อม และอีกอย่างก็ยังมีธุรกิจที่เพิ่งจะเริ่มทำ แล้วมันยังต้องอาศัยเราคนเดียวที่จะรันมันไปได้”
“ตอนนี้ก็เลยอยากจะไปฉีดสเต็มเซลล์ก่อนค่ะ แล้วถ้ากล่อมคุณพ่อได้ คุณพ่อก็จะมีความมั่นใจกับการรักษาของเขาเหมือนกัน ถ้าเขาไปได้ก็อยากชวนเขาไปด้วย เพราะว่าจริงๆ แล้วสเต็มเซลล์บางประเทศถูกกฎหมาย แต่ก็เป็นล้าน แต่ที่จีนประมาณ 2.5 แสน ราคามันถูกกว่าเยอะ อย่างนุ๊กไปฉีดเม็ดสี แล้วก็เข้าอุโมงค์ ถ้าอยู่ไทยมันต้องเกือบๆ แสนแล้ว แต่ที่โน่นก็ถูกกว่าเกินครึ่ง เราก็รู้สึกว่าถ้าเราไม่ได้มีประกันเลย ก็ถือว่าเราคุ้ม”
“การผ่าตัด ณ ตอนนี้ก็เลยน่าจะเป็นช้อยส์สุดท้าย คือเรายังรู้สึกห่วงเรื่องลูก เรื่องงาน และการผ่ากว่าจะพักฟื้นอีก เอฟเฟกต์มันก็เยอะนะคะ ผ่าคอนี่มันยึดหมดเลยนะคะ แล้วก็จะมีอาการเหมือนออฟฟิศซินโดรมร่วมด้วย เพราะมันยึดไปหมด พังผืดจะเกาะ กว่าเราจะยืดคอก็มึนหัวอีก มันจะเป็นช่วงที่ทำงานยากมาก แต่ก็คิดว่าถ้าจบละคร 2 เรื่องนี้ และธุรกิจอีก 2 ตัวก็น่าจะไปอยู่ในช่วงของการดูแลตัวเองหลังจากนี้ค่ะ”
ลูกๆ ว่ายังไงบ้าง ?
“ลูกๆ คิดว่าแม่ตายยาก เขาบอกว่าแม่ไม่ตายง่ายๆ หรอก แม่จำไว้เลย (หัวเราะ) แต่ลึกๆ นุ๊กว่าเขากลัวนะ เขาก็ดูเศร้าไป แต่หลังจากที่เขาเห็นการใช้ชีวิตของเรา แม่ก็ยังดูปกติ แม่ก็คงไม่เป็นอะไรหรอก เขาก็เลยไม่ได้เครียดตามเรา เพราะเราก็ไม่อยากให้เขาเครียด ไม่อยากให้คนรอบตัวเราเครียด ลูกเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราต้องสู้กับโรคด้วย เป็นเหตุผลหลักเลยค่ะ ถ้าอย่างอื่นก็เฉยๆ รู้สึกว่าเราก็ใช้ชีวิตมาถึงจุดนึงแล้ว หลังๆ ก็เริ่มแต่งตัวหรือทำอะไรที่เราอยากทำจริงๆ มากขึ้น ถ่ายละครเมื่อก่อนก็ต้องไว้ผมอิงกับคาแรกเตอร์ แต่เดี๋ยวนี้ก็ตัดผมสั้นแล้วก็ใส่วิก รู้สึกว่าโค้งสุดท้าย เราต้องเริ่มเคานต์ดาวน์ตัวเอง เราต้องใช้ชีวิตที่เป็นเรา ไม่ใช่แม่นุ๊กของลูกๆ หรือไม่ใช่คนในละครมากจนเกินไป”
ทำไมถึงบอกว่า เริ่มเคานต์ดาวน์ตัวเองแล้ว ?
“ที่เริ่มเคานต์ดาวน์ตัวเอง คือยังไงทุกคนก็ต้องตาย ทุกคนก็รู้ ทุกคนก็พูด แต่เชื่อไหมว่าไม่มีใครรู้สึกได้เท่ากับคนที่เห็นความตายอยู่แค่ปลายจมูกหรอก เรารู้เลยว่าความตายมันอยู่แค่เอื้อมเราเอง การรอฟังผลแล้วเหงื่อแตกไปทุกอณูขุมขน เวลาฟังแล้วใจมันแว๊บ มันผ่านตรงนั้นมาแล้วเราก็เลยรู้ว่าจริงๆ ไม่ใช่เราคนเดียวนะคะ ชีวิตทุกคนเกิดมาปุ๊บก็เคานต์ดาวน์ทันที เพราะเราก็ไม่รู้ว่าจะไปเมื่อไหร่ ก็เลยมีเรื่องของศาสนาขึ้นมา เพื่อให้เราได้ยึดเหนี่ยวจิตใจ และทำในสิ่งที่มันดีที่สุด”