อาลัย จ่าสิบตำรวจ ปลิดชีพตัวเอง เผยปมเครียด ถูกเพื่อนตำรวจหักหลัง

เมื่อเวลา 06.20 น.วันที่ 31 ตุลาคม พ.ต.ต.วิศาล ศรีแก่นจันทร์ สว.(สอบสวน)สภ.คำเขื่อนแก้ว ได้รับแจ้งว่ามีเหตุใช้อาวุธปืนยิงตัวเองเสียชีวิตภายในบ้านเลขที่ 128 หมู่ 3 จ.ยโสธร จึงรุดไปตรวจตรวจสอบพร้อมประสานขอเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจและเก็บหลักฐาน ที่เกิดเหตุเป็นบ้านปูนชั้นเดียวพบญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านกำลังมุงดูศพของผู้ตายท่ามกลางเสียงร้องไห้ของญาติๆระงมไปทั่วบริเวณทราบชื่อผู้ตาย คือ จ่าสิบตำรวจอนุพงศ์ อายุ 37 ปี เป็นลูกชายของเจ้าของบ้านและเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดยโสธร

โดยที่บริเวณขมับขวามีรอยกระสุนไม่ทราบขนาดเจาะเข้าและทะลุออกฝั่งซ้ายนั่งฟุบจมกองเลือดอยู่ภายในห้องนอนภายในบ้านพักขณะที่มือขวายังกำอาวุธปืนแบบกึ่งอัตโนมัติ ขนาด 9 มม.อยู่แต่ญาติได้ช่วยกันนำร่างของผู้ตายออกจากที่เกิดเหตุ เพื่อนำส่งโรงพยาบาลคำเขื่อนแก้ว เพื่อชันสูตรตามขั้นตอนแล้วจึงนำศพกลับมาจัดเตรียมประกอบพิธีทางศาสนาที่บ้านพัก ส่วนห้องนอนที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจได้กันพื้นที่เอาไว้เพื่อให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจที่เกิดเหตุพร้อมกับเก็บหลักฐานและหัวกระสุนในที่เกิดเหตุต่อไป

สาเหตุการก่อเหตุยิงตัวเองตายในครั้งนี้ญาติยืนยันว่าผู้ตายเกิดความเครียดหนักจากการปฏิบัติหน้าที่แล้วถูกตำรวจด้วยกันหักหลังวางแผนให้ตกเป็นการเรียกรับเงินและกรรโชกทรัพย์จนถูกผู้บังคับบัญชาตำหนิและยังน้อยใจที่เพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชาไม่เข้าข้างและมองว่าถูกปล่อยทิ้งกลางทาง

นางอรอนงค์ โชคยศเจริญ อายุ 56 ปี น้าของผู้ตาย เล่าว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการว่าจ้างหมอลำมาทำการแสดงภายในงานกฐิน ของ ส.ส.บุญแก้ว สมวงศ์ ยโสธรยโสธร เขต 2 ซึ่งแสดงภายในหมู่บ้านของตนและผู้ตายก็ไปร่วมชมหมอลำด้วยจนกระทั่งเกือบสว่าง หมอลำกำลังจะเลิกผู้ตายได้เดินไปทักทายเพื่อนรุ่นน้องที่รู้จักกันแต่ในระหว่างนั้นได้โอบกอดไปที่เอวของเพื่อน และพบว่ามีการพกอาวุธปืนมาด้วยจึงมีการต่อว่าพกปืนมาได้อย่างไร ผู้ตายจึงตรวจยึดอาวุธปืนมาถือไว้และในระหว่างนั้นได้มีตำรวจอีกนายสังกัด สภ.เมืองยโสธร ที่ไปร่วมชมหมอลำด้วยเข้ามาขัดขวางพร้อมกับอ้างว่าเป็นอาวุธปืนของตนที่ให้เพื่อนซึ่งเป็นคนรู้จักกันพกติดตัวไว้เฉยๆ

จนเกิดการโต้เถียงกันแล้วตำรวจนายนั้นได้ใช้มือจับคอผู้ตายกดลงกับพื้นแต่ลูกชายของตนที่ไปชมหมอลำเห็นเหตุการณ์จึงเข้าไปขวางไว้เพราะเห็นว่าเป็นญาติกันจนถูกฝั่งตรงข้ามทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บจากนั้นก็แยกย้ายกันไปโดยผู้ตายได้ตรวจยึดอาวุธปืนกลับไปด้วย

จากนั้นผู้ตายได้ไปปรึกษากับผู้บังคับบัญชาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อเพราะเห็นว่าเป็นปืนของตำรวจด้วยกันเองผู้บังคับบัญชาจึงแนะนำให้ไปลงบันทึกประจำวันไว้ก่อนเพื่อเป็นหลักฐานผู้ตายจึงไปลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.คำเขื่อนแก้ว และตนก็พาลูกชายเข้าแจ้งความร้องทุกข์เอาไว้ด้วยว่าถูกทำร้ายร่างกาย

วันต่อมาฝ่ายตรงข้ามจึงติดต่อมาขอเจรจาเพื่อขอให้ถอนแจ้งความทั้งเรื่องทำร้ายร่างกายและอาวุธปืน จนต่อมาผู้ตายถูกผู้บังคับบัญชาเรียกเข้าไปพบและขอให้ไปเคลียร์กับฝ่ายตรงข้ามให้จบแต่ด้วยดีไม่อยากให้มีปัญหากันโดยถ้าจะเรียกค่าเสียหายก็ให้ไปคุยกันเอาเอง ผู้ตายจึงไปเรียนเพื่อนรุ่นน้องและตำรวจคู่กรณีมาเจรจากันที่บ้านพักของผู้ตายและมีการเจรจาตกลงเรียกค่าเสียหายรวมเป็นเงิน 3 แสนบาท

โดยฝ่ายตรงข้ามก็ตกลงยินยอมแต่ยังไม่ได้จ่ายเงินกันแต่อย่างใดแต่ในระหว่างการเจรจาฝ่ายตรงข้ามได้มีการแอบบันทึกเสียงการเจรจาเอาไว้และได้นำเอาบันทึกเสียงนั้นไปฟ้องผู้บังคับบัญชาว่าผู้ตายเรียกรับเงินและมีการกรรโชกทรัพย์ตามคลิปเสียงดังกล่าวจนผู้ตายถูกผู้บังคับบัญชาเรียกเข้าไปตำหนิพร้อมบอกจะไม่ให้การช่วยเหลืออีกต่อไปและหลังเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาผู้บังคับบัญชาก็ไม่จ่ายงานให้ทำเพื่อนร่วมงานก็ไม่พูดคุยด้วยจนทำให้ผู้ตายเกิดความเครียดและน้อยใจไม่อยากจะอยู่ต่อและโทรศัพท์มาเล่าระบายให้ตนฟังอยู่ตลอดเวลาซึ่งตนก็ได้พยายามให้กำลังใจและบอกไม่ต้องไปคิดมากเดี๋ยวจะพูดคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่ให้

โดยผู้ตายเกรงว่าเรื่องจะไม่จบง่ายๆจนนำไปสู่การสอบวินัยและให้ออกจากราชการจึงตัดสินใจยิงตัวเองตายดังกล่าว

ก่อนเกิดเหตุผู้ตายได้นำเงินเดือนของตนไปแจกจ่ายให้กับญาติพี่น้องคนละ 1,000 บาท และเมื่อคืนยังนั่งล้อมวงกินข้าวด้วยกันก่อนขอตัวเข้านอนเวลาประมาณ 3 ทุ่มเศษๆจนกระทั่งเช้าเวลาประมาณ 5 นาฬิกา น้องสาวและแม่ของผู้ตายที่พักอยู่บ้านหลังเดียวกันได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด มาจากห้องนอนของผู้ตายจึงพยายามเปิดประตูเข้าไปแต่ประตูถูกล็อกจากทางด้านในจึงไปหากุญแจสำรองมาเปิดก็พบว่าผู้ตายนั่งฟุบจมกองเลือดอยู่บริเวณเตียงนอนโดยที่มือขวายังกำอาวุธปืนเอาไว้อยู่