นักศึกษาโคราชถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกกักตัวเรียกเงินค่าไถ่จากผู้ปกครอง ตกเป็นเหยื่อกว่า 200 ราย แฉวิธีลงมือ เจอแบบนี้รีบเข้าไปหาตำรวจ
วานนี้ (10 ตุลาคม) เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมชั้น 5 อาคารรัฐสีมาคุณากร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) อ.เมือง จ.นครราชสีมา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ร่วมกับสถานีตำรวจภูธรโพธิ์กลาง ได้จัดกิจกรรมเสวนา ให้ความรู้ ในหัวข้อ “SUT รู้ทันกลลวง คอลเซ็นเตอร์ ภัยร้ายใกล้ตัว”
นำโดย พ.ต.อ.วีณวัฒน์ ศรีแย้ม ผกก.สภ.โพธิ์กลาง และเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน สภ.โพธิ์กลาง ซึ่งมาบรรยายให้ความรู้แก่ผู้ร่วมฟังเสวนา ทั้งในห้องประชุม และการไลฟ์สดผ่านเพจเฟซบุ๊ก Suranaree University of Technology และเพจ มทส. ที่รัก ซึ่งมีคณาจารย์ และนักเรียน นักศึกษา ร่วมฟังเสวนากันเป็นจำนวนมาก
ภายหลังจากที่เกิดเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ โทรศัพท์มาใช้อุบายหลอกนักศึกษาให้ไปเช่าหอพักกักตัว แล้วหลอกให้ผู้ปกครองโอนเงินให้นักศึกษา ก่อนที่นักศึกษาจะโอนเงินให้มิจฉาชีพ ซึ่งมีนักศึกษา มทส.ตกเป็นเหยื่อกว่า 200 ราย รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 3 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังพบว่ามีนักศึกษามหาวิทยาลัยอื่น ทั้งในพื้นที่ จ.นครราชสีมา และในพื้นที่ภาคเหนือ ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพในลักษณะนี้ด้วยอีกหลายร้อยราย
นายอรรถวุฒิ ภูคำวงษ์ ที่ปรึกษาหอพัก มทส. เปิดเผยว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 1 ส.ค. – 30 ก.ย. 67 มีนักศึกษา มทส.ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพกว่า 200 ราย ซึ่งพฤติกรรมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์นี้ จะทำงานกันเป็นทีม โดยลำดับเหตุการณ์คือ
1.ปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ โทรศัพท์หาผู้เสียหาย ทำเป็นว่ามีหมายเลขบัตรประชาชนไปเกี่ยวข้องคดีต่าง ๆ อาทิ เช่น ไปติดตั้งอินเตอร์เน็ตบ้านไม่ชำระเงินที่ต่างหวัด เว็บพนันออนไลน์ เว็บสื่อลามกอนาจาร แล้วแต่มิจฉาชีพจะสร้างสถานการณ์ข่มขู่ให้เหยื่อเกิดความหวาดกลัว เกี่ยวกับคดีต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น
2.หลังจากเหยื่อหลงเชื่อมิจฉาชีพ กลุ่มนี้จะให้เหยื่อไปหาสถานที่เงียบ ๆ คนเดียวสนทนาโดยไม่ให้มีบุคคลที่ 3 อยู่ด้วย และสั่งห้ามบอกใครเด็ดขาด ออกกลอุบายให้เหยื่อไปเช่าห้องพักกักตัวเองเพื่อพูดคุยคดีความ เหยื่อบางรายกักตัวเอง 7 วัน โดยมิจฉาชีพจะใช้จิตวิทยาพูดคุมเหยื่อผ่านออนไลน์ พร้อมห้ามบอกใครว่าพักอยู่ที่ไหน
3.หลังจากเหยื่อดำเนินการต่าง ๆ เสร็จ เริ่มทำตามแผนโดยให้เหยื่อโอนค่าการดำเนินคดีก่อน และควบคุมเหยื่อผ่านออนไลน์ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ซึ่งมิจฉาชีพจะทำหน้าที่เข้าเวรเปลี่ยนกันควบคุมเหยื่อทางออนไลน์ หลังจากนั้นจะให้เหยื่อหลอกลวงผู้ปกครองสร้างสถานการณ์ต่าง ๆ ในการหาเงินมาให้ เช่น ให้เหยื่อถ่ายรูปปัจจุบันแล้วตกแต่งภาพผ่านเเอปฯ ต่าง ๆ ว่าเหยื่อโดนทำร้ายร่างกาย
หรือให้เหยื่อพิมพ์ข้อความว่าถูกจับตัวหรือหายตัวออกจากหอ แล้วส่งไปให้ผู้ปกครอง พร้อมสั่งให้เหยื่อพิมพ์ข่มขู่ผู้ปกครองตนเองเพื่อให้ได้เงิน หากผู้ปกครองคนไหนหลงเชื่อก็จะโอนให้เหยื่ออย่างรวดเร็ว เพราะมิจฉาชีพใช้เหยื่อเป็นเครื่องมือในการติดต่อผู้ปกครอง ไม่ได้ให้ติดต่อตนเอง เพราะถ้าผู้ปกครองโอนโดยตรงก็จะเกิดข้อสงสัยของปลายทางว่าเลขบัญชีใครอาจจะไม่โอน เลยต้องใช้บัญชีเหยื่อเป็นเครื่องมือและให้เหยื่อโอนเงินให้กลุ่มมิจฉาชีพอีกที
เหตุการณ์ใกล้ตัวกลยุทธ์ของมิจฉาชีพทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงมีทุกรูปแบบ เคสนักศึกษาล่าสุดนี้ดีที่ไปช่วยได้ทันเหตุการณ์ รู้ที่พักของเหยื่อที่ถูกหลอกไปเช่าอยู่ แจ้งผู้ปกครองและคนรอบข้างได้ทันการณ์ห้ามโอน แต่ก็มีการเสียทรัพย์จำนวนหนึ่ง เคสนี้เสียเงิน 33,000 บาท แต่มีบางเคสที่ไปเช่ารีสอร์ตซึ่งอยู่ห่างไกลมหาวิทยาลัย ทำให้ติดต่อไม่ได้ และมีนักศึกษารายหนึ่งที่ถูกหลอกเสียเงินมากที่สุดมากถึง 5 แสนบาท
ขณะที่เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567 วันเดียว มีเคสนักศึกษา มทส.ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ 3 ราย เสียเงินไปกว่า 6.9 แสนบาท ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าถ้ารวมความเสียหายของเหยื่อทั้งหมดกว่า 200 คน จะมากกว่า 3 ล้านบาท
5.มิจฉาชีพมีการให้เหยื่อตายใจโอนเงินให้ค่าเช่าห้องพัก เพื่อถ่วงเวลาให้เหยื่ออยู่กักตัวเองต่อ และหาเเนวทางให้เหยื่อโกหกหลอกให้ผู้ปกครองโอนเงินให้ได้มากที่สุด และจะอ้างว่าทำเรื่องทางคดียังไม่เสร็จ ซึ่งเงินที่โอนมาให้ก็คือเงินเหยื่อที่โอนให้จำนวนก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ หลังจากนี้ทางหอพักมหาวิทยาลัยฯ จะมีการแจ้งข่าวสาร เตือนนักศึกษาหลากหลายช่องทาง เช่น ติดประกาศตามหอพัก, ติดตามประตูห้องน้ำในหอพักทุกห้อง, แจ้งเตือนผ่านกลุ่มไลน์หอพักและกลุ่มไลน์ผู้ปกครอง และแจ้งเตือนและขอความอนุเคราะห์ให้หอพักเครือข่าย มทส.และหอพักรอบมหาวิทยาลัยสอดส่องดูแลเด็กในหอพักอย่างใกล้ชิด
ด้าน พ.ต.อ.วีณวัฒน์ ศรีแย้ม ผกก.สภ.โพธิ์กลาง กล่าวว่า กรณีนี้มีนักศึกษา มทส.ตกเป็นเหยื่อกว่า 200 ราย โดยบางส่วนจะเป็นการหลอกให้ซื้อของออนไลน์ แล้วได้ของไม่ตรงปก แต่ที่สูญเสียเงินมาก ๆ จะเป็นกลุ่มที่ถูกมิจฉาชีพปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยเฉพาะปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แจ้งว่านักศึกษาเกี่ยวข้องกับคดีต่าง ๆ เช่นคดีพนันออนไลน์
ซึ่งวัยรุ่นหลายคนอาจจะเคยเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่มิจฉาชีพขู่ว่าจะถูกดำเนินคดีข้อหาหนักหลายข้อ เช่นคดีการฟอกเงิน โยงกับพ่อค้ายาเสพติด เพื่อให้เหยื่อเกิดความหวาดกลัว แล้วอ้างว่าจะสามารถช่วยเคลียร์ดีให้ได้ แต่ต้องทำตามที่บอก ทำให้นักศึกษาหลงเชื่อโอนเงินไปให้มิจฉาชีพจำนวนมาก
ซึ่งตนยืนยันว่าความผิดลักษณะนี้เป็นความผิดเล็กน้อย ไม่ต้องกลัว และเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีนโยบายโทรศัพท์มาแจ้งข้อกล่าวหา แต่จะมีการออกหมายเรียกให้เข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาเท่านั้น หรือถ้าสงสัยก็ขอให้กล้าเข้ามาหาเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ สภ.ใกล้เคียง
อาจจะนำเบอร์โทรศัพท์ หรือแคปหน้าจอของผู้ที่โทรศัพท์หามาที่ สภ. เพราะทุก สภ.จะสามารถตรวจสอบให้ได้ว่าคนที่โทรศัพท์มา เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริงหรือปลอม อย่าเพิ่งหลงเชื่อโอนเงินไปเป็นอันขาด เพราะถ้าโอนเงินไปแล้วจะไม่มีโอกาสได้เงินคืนแน่นอน