มรดก 1 พันล้าน ทำครอบครัวล่มสลาย พ่อตาย แม่ติดคุก 25 ปี ลูกชายเผยความจริงสุดพลิกผัน สะเทือนใจกว่าเดิม
เว็บไซต์ New York Post รายงานว่า ครอบครัวหนึ่งในรัฐนอร์ทดาโกตา ทางของเหนือของสหรัฐฯ มีอันต้องพบกับชะตากรรมสุดเลวร้าย หลังจาก สตีเวน ไรลีย์ จูเนียร์ วัย 51 ปี ได้รับอีเมลแจ้งว่าเขากำลังจะได้รับมรดกก้อนโต มูลค่า 30 ล้านเหรียญ (ประมาณ 1 พันล้านบาท) ซึ่งในเวลาเพียงไม่นาน เขากลับต้องจบชีวิตลงจากการถูกวางยา
ขณะที่ภรรยาของเขา อินา เธีย เคนอยเออร์ วัย 48 ปี ต้องรับโทษจำคุก 25 ปี สืบเนื่องมาจาก เคโนเยอร์ เป็นคนวางยาพิษสามี ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่เธอบังเอิญเห็นอีเมลของเขา เธอเชื่อว่าเขากำลังจะได้รับเงินมรดกมหาศาลและมีแผนที่จะเลิกกับเธอ
แต่เธอมองว่าตัวเองก็มีสิทธิ์ในมรดกนั้นเช่นกัน เนื่องจากตัวเองเป็นภรรยาของเขาแม้จะไม่ได้จดทะเบียนสมรสก็ตาม จึงตัดสินใจลงมือฆ่าสามี หวังเอาเงินมรดกที่ได้มาแบ่งกับลูกชายต่อไป
ข้อมูลจากฝ่ายสืบสวนพบว่า ในวันที่ 3 กันยายน 2566 จู่ ๆ ไรลีย์ก็ล้มป่วยและอาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว ตอนที่เดินทางไปพบทนายความ เพื่อจะทำธุรกรรมเกี่ยวกับการรับโอนมรดก
เจ้าหน้าที่ถูกเรียกมาที่บ้านของเขาในวันรุ่งขึ้น แต่พบว่าไรลีย์อยู่ในสภาพไม่ตอบสนองแล้ว เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ก่อนจะเสียชีวิตในวันที่ 5 กันยายน
ผลการชันสูตรพลิกศพ พบว่าไรลีย์เสียชีวิตเนื่องจากพิษของสารเอทิลีนไกลคอล (ethylene glycol) อันเป็นสารพิษที่มักพบในสารต้านการเยือกแข็ง
ซึ่งเพื่อนและครอบครัวของไรลีย์ได้แสดงความกังวลกับทางตำรวจว่า ภรรยาของผู้ตายน่าจะใช้สารต้านการเยือกแข็งวางยาเขา เป็นผลให้ไรลีย์เสียชีวิต
ขณะที่เคนอยเออร์ อ้างว่าสามีดื่มแอลกอฮอล์ทั้งวัน และมีอาการฮีตสโตรกไม่กี่วันก่อนหน้านั้น แต่ยอมรับว่าตัวเองรู้เรื่องมรดกดังกล่าว
ต่อมาทางตำรวจได้จับกุม เคนอยเออร์ และแจ้งข้อหาฆาตกรรมในเดือนตุลาคม 2566 ซึ่งต่อมาระหว่างการพิจารณาคดีในเดือนพฤษภาคม 2567 เคนอยเออร์ยอมรับสารภาพว่าเป็นคนวางยาสามีจริง นำมาสู่การพิจารณาคดีในเดือนตุลาคมนี้
เธอถูกตัดสินให้รับโทษจำคุก 25 ปี คุมความประพฤติ 10 ปี และให้จ่ายค่าเสียหาย 3,455 เหรียญ (ประมาณ 115,000 บาท) แก่ครอบครัวของผู้ตาย
ในส่วนของมรดกพันล้านซึ่งเป็นต้นตอของเหตุการณ์เลวร้ายทั้งหมดนั้น เจ้าหน้าที่ยังสงสัยว่ามรดกดังกล่าวนั้นมีอยู่จริงหรือไม่
ซึ่ง ไรอัน ไรลีย์ ลูกชายวัย 21 ของผู้ตาย เผยกับสื่อว่า พ่อแม่ของเขาน่าจะตกเป็นเหยื่อการหลอกลวงทางออนไลน์เข้าแล้ว และไม่น่าจะมีเงินดังกล่าวอยู่จริงตั้งแต่แรก