เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ลานสัก ได้รับแจ้งว่ามีเหตุหญิงไทยไม่ทราบชื่อ อายุประมาณ 30 ปี เสียชีวิต ที่ป่าละเมาะข้างทาง พื้นที่ติดต่อระหว่างหมู่ 2 กับ หมู่ 5 ต.ลานสัก อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี สภาพถูกเสื้อคลุมศีรษะไม่เห็นใบหน้า แล้วใช้เชือกสีแดงรัดทั้งเสื้อและคอ มีรอยลากจากริมถนนเข้าไปที่เกิดเหตุ ประมาณ 20 เมตร หลังรับแจ้ง จึงประสานไปยังแพทย์โรงพยาบาลลานสัก รีบเดินทางไปตรวจสอบ
จากการสอบถามชาวบ้านชื่อนายอ้า ซึ่งเป็นคนในหมู่บ้าน ได้เปิดเผยว่า ได้มีเจ้าของไร่มันมาพบเห็นศพดังกล่าวในช่วง 10.00 น. ของวันที่ 20 ตุลาคม 2567 ซึ่งตอนแรกเจ้าของไร่มันคิดว่าเป็นตุ๊กตาใครเอามาทิ้ง จึงได้เดินไปดูปรากฏพบว่าเป็นศพ จึงได้ไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มายังที่เกิดเหตุ
นอกจากนี้ ได้สอบถามนายหนู เปิดเผยว่า เมื่อวานเวลาประมาณ 5 โมงเย็น ของวันที่ 19 ต.ค. 2567 ตนเองได้กำลังเหลาเบ็ดอยู่ที่หน้าบ้าน จังหวะนั้น ได้เห็นรถตู้คันหนึ่งสีขาวสภาพใหม่ ขับรถผ่านหน้าบ้านของตนเองไป ซึ่งพื้นที่บ้านตนเองติดกับถนนและเป็นเขตติดต่อกับ หมู่ 5 ต.ลานสัก หลังจากนั้น ตนเองก็ไม่ได้สนใจอะไร
จนล่าสุดตนเองได้ขับรถออกไปตลาดเพื่อไปซื้อมาม่าให้ลูก จังหวะนั้นได้ผ่านมายังบริเวณที่เกิดเหตุ พบรถตู้คันดังกล่าวที่ตนเองเห็นผ่านหน้าบ้าน จอดอยู่ริมถนนและเห็นว่ามีผู้ชาย 1 คน ผู้หญิง 1 คน จำใบหน้าไม่ได้ แต่ผู้หญิงรูปร่างอวบขาว ใส่กางเกงขาสั้น เดินลงไปพร้อมกัน มุ่งหน้าเดินเข้าไปที่ไร่ ซึ่งตนเองไม่ทราบว่าเป็นใคร คิดว่ามาดูที่ไร่ จนมาทราบล่าสุดอีกทีว่ามีเกิดเหตุฆาตกรรมแล้ว ตนเองจึงได้ให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไปเท่าที่ตนเองเห็น
อย่างไรก็ตาม ทางพนักงานสอบสวน สภ.ลานสัก พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน เร่งหากล้องวงจรปิดเพื่อหารถตู้คันดังกล่าวและเวลาใกล้เคียงที่สุด เพื่อตรวจสอบหาพยานหลักฐานให้แน่ชัดอย่างละเอียด เพื่อหาตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมกับเจ้าหน้าที่ ได้เก็บพยานหลักฐานทุกชนิด ไปตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ยังไม่ทราบว่าผู้เสียชีวิตเป็นใคร เนื่องจากทางผู้นำชุมชนในหมู่บ้าน ก็ไม่มีใครคุ้นหน้าและไม่รู้จัก จึงอยากจะประชาสัมพันธ์ว่าหากใครมีญาติหาย เห็นจากภาพข่าวแล้วให้ติดต่อมาได้ที่สภ.ลานสัก หรือติดต่อมาได้ที่เบอร์ในเว็บไซต์ของตำรวจลานสัก เบื้องต้น จะได้นำส่งศพไปผ่าพิสูจน์ต่อไป เนื่องจากขณะนี้ศพดังกล่าวได้ไปฝากเก็บอยู่ที่วัดป่าสัก อยู่ระหว่างญาติติดต่อมา
ผู้สื่อข่าวจังหวัดอุทัยธานี รายงาน